วันจันทร์, ธันวาคม 29, 2551

"ผู้ชาย" กับ "ความรัก"

จู่ๆ ก็รู้สึกเครียดขึ้นมาตะหงิดๆ

หลังจากที่อ่านกระทู้นายคนนึงใน 1000ทิป เค้ามาระบายคร่ำครวญว่ารัก "น้อง" คนหนึ่งมาก เป็นแฟนกัน 10 ปี อยู่ด้วยกันมา 6 ปี เคยรักกันมากและคิดที่จะสร้างอนาคตด้วยกันต่อไป แต่ตอนนี้สาวเจ้ากำลังมีคนอื่น ..เพื่อนเก่าสมัยเรียน.. เค้าว่างั้นนะซึ่งนายคนนี้ก็ยังคงบอกว่า รักๆๆๆ น้องคนนี้เหลือเกิน ยังไงก็รัก ไม่ว่าจะเสียอะไรไปเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร ต้องการเพียงแค่โอกาสได้กลับมารักกันดีๆ อีกเท่านั้น

ใจหาย..แฮะ..
ผู้ชายคนหนึ่งสามารถทุกข์ได้ขนาดนี้เพราะผู้หญิงที่รักงั้นเหรอ..

เมื่อก่อนไม่เคยเชื่ออะไรแบบนี้เลยนะ ไม่เคยเชื่อว่าผู้ชายจะมีความรักที่มั่นคงให้กับผู้หญิงคนหนึ่งได้จริงๆ เพราะธรรมชาติของผู้ชายเป็นฝ่าย "ได้" ในทุกๆ อย่าง ในเมื่อไม่ได้เป็นฝ่าย "เสีย" ก็ไม่จำเป็นต้องทนกับอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ พร้อมจะ "ชิ่ง" จากไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ผู้หญิงซะอีกที่ต้องเป็นฝ่ายรับให้ได้ไม่ว่าผู้ชายที่ตัวเองเลือกนั้นจะร้ายกาจเพียงใด

หันมามองเรื่องของตัวเองบ้าง..
จากคนที่ไม่เคยเชื่อในความรักของผู้ชาย แต่แล้วก็มีคนที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนมุมมองความคิดของตัวเองใหม่ ว่าทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเพศอะไรก็ตาม ทุกคนมีรัก โลภ โกรธ หลง ดีใจ/เสียใจ มีความผูกพันได้เหมือนกัน

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ วันที่เราคิดว่าเรารู้จักความรักแล้วจริงๆ ก็ดันเป็นวันที่เราตระหนักว่าได้ทำร้ายผู้ชายดีๆ คนหนึ่งที่รักเรามาก ทำให้เค้าต้องผิดหวังในตัวเรา และทำให้เค้าต้องเสียใจอย่างที่สุดจนไม่มีวันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก เพียงเพราะความสงสารที่เรามีให้คนอื่น แพ้น้ำตาของผู้หญิงจนตัดสินใจอะไรผิดๆ คิดเอาเองว่า การที่ไม่ได้เห็นน้ำตาของเค้านั้น เค้าคงไม่เสียใจมากเท่าคนที่ร้องไห้ฟูมฟายให้เห็น เป็นเรื่องเดียวที่คิดว่าตัวเองอยากแก้ไขหากสามารถย้อนเวลาไปทำสิ่งที่ถูกต้องได้ เพราะเราผิดที่ไม่เชื่อมั่นในความรักของคนที่เราไม่เคยให้โอกาสเค้าได้แสดงออกกว่าจะรู้ว่าตัวเองโง่แค่ไหน ก็เมื่อวันที่เสียเค้าไปแล้ว..

สิ่งที่เค้าไม่เคยรู้เลยต่อจากนั้นก็คือ พอห่างกันไปใจมันก็คิดถึงแต่เค้า คิดถึงสิ่งที่เค้าเคยทำให้เรามาตลอด ผู้ชายที่อบอุ่นที่สุดที่เคยพบมา คนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็รู้ว่าเค้าไม่มีวันที่จะทำร้ายเราเวลาปีกว่าที่ผ่านมาไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงเค้า แค่นี้ยังไม่เพียงพออีกหรือที่จะ "ตาสว่าง" ได้แล้ว!! จะมัวโกหกตัวเองและคนอื่นๆ ไปทำไม ในเมื่อความเป็นจริงเป็นอย่างไรก็รู้กันดี ฝืนหลอกตัวเองไปก็ไม่มีใครเลยที่จะมีความสุข สู้ยอมรับเถอะว่าหัวใจตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วก็ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองซะที นั่นแหละเป็นที่มาของวันนี้..

แก้วที่มันร้าวคงไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
หากดึงดันจะเติมน้ำลงไปก็มีแต่จะเพิ่มแรงกดดันทำให้แก้วต้องแตกหรือเสียหายไปมากกว่าเดิม
ควรหรือไม่..ที่จะเก็บมันไว้อย่างนั้นโดยไม่แตะต้องมันให้แปดเปื้อนไปอีก..

แต่ความรักไม่ใช่แก้ว..

จะสายไปหรือไม่??
จะเหมือนเดิมอยู่ไหม??

..ไม่มีใครรู้คำตอบ.. นอกจากคนสองคน..

เกิดเป็นคนนี่เหนื่อยแฮะ นอกจากต้องรู้รบปรบมือกับคนรอบข้างที่ไม่รู้ว่าจะหวังดีประสงค์ร้ายหรือไม่แล้ว ยังต้องสู้กับความคิด ความรู้สึกของตัวเองอีกด้วย ทำไมชีวิตมันถึงไม่ง่ายเลย..
แต่นี่แหละ สีสันของคนเป็นคน 555

วันศุกร์, ธันวาคม 26, 2551

รักนะคร้าบบบ..

"ความรัก" เป็นสิ่งที่วิเศษจริงๆ เลยนะ..
ยามมีความรักมันทำให้โลกทั้งโลกดูสดใส มีชีวิตชีวาเสียจริงๆ พอมุมมองเราเปลี่ยนทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนไปหมด โลกทั้งโลกเป็นสีชมพู (อันนี้ก็เว่อร์ไป -_-") ก็แค่ว่าสิ่งบางสิ่ง.. ของบางอย่าง.. คนบางคน.. มันดูแปลกตาไป ทั้งที่จริงมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นมานานเพียง แต่เราไม่เคยคิดที่จะมองเห็นเองต่างหาก

ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่อะไรหรอก เพิ่งจะคิด "ปิ๊ง" ขึ้นมาได้เมื่อกี้นี้เองว่า ชีวิตเราช่วงนี้มันดูจะสดใส มีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ!!จะว่าพลังเฮือกสุดท้ายของวัยเลข "2" ก่อนจะก้าวข้ามไปแตะ "สามสิบยังแจ๋ว" ก็ไม่น่าใช่!! แต่มันเป็นเพราะ IN LOVE ต่างหาก 555

ขันติ..อดทนอดกลั้นถึงที่สุดแล้ว

.. สติมา..ปัญญาเกิด..

รับรู้แล้วว่าใจจริงของตัวเองเป็นอย่างไรพอยอมรับความจริงได้แล้ว ทุกอย่างมันก็สบายๆ เรื่อยๆ อย่างที่มันควรจะเป็น สิ่งที่เคยคิดว่ามันยากแท้ที่จริงแล้วก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดไว้ซะหมด แต่สิ่งที่เคยคิดว่ามันคงอยู่นี่สิ กลับเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อะไรๆ ก็ไม่เที่ยง "ความไม่แน่นอน คือ ความแน่นอน" กาลเวลาเปลี่ยนไป ใจคนก็เปลี่ยนแปลง

..จงอย่ายึดติดกับอะไร.. สินะ..

เหมือนที่เค้าบอกว่า
"สรรพสิ่งย่อมมีวันเปลี่ยนแปลง สสารไม่มีวันสูญหายไปจากโลก เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้น" ความสัมพันธ์ก็เช่นกัน เปลี่ยนจากคนรู้จัก คนคุ้นเคย คนรัก คนเคยรัก (แล้วจะกลับเป็นคนรักอีกได้ไหมหนอ อันนี้ไม่เห็นมีใครบอกว่ามันเป็น fact มั่งแฮะ)

ไม่รู้ใครจะคิดเหมือนเราไหมนะ ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากๆ เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่เมื่อเวลาผ่านไป กลับยิ่งมีคุณค่าต่อจิตใจมากขึ้น

เมื่อวานมีโอกาสได้ไปย้อนอดีตมาอีกครั้ง เป็นจังหวะเหมาะกับการ Merry Christmas & Happy New Year พอดิพอดี พาตัวเองกลับไปสู่ "วัยใส สมัยทีนเอจ" พบหน้าค่าตาคนเดิมๆ ที่คุ้นเคย (ยกเว้นผมที่สีจางๆ ลง) กลับไปไหว้.. "ครูบาอาจารย์ที่ท่านประทานความรู้มาให้..... " กลายไปเป็นผู้ต้องหาให้เจ้าหน้าที่ซักไซ้ไล่เลียงพอเป็นพิธี 555 ได้คำถามทดสอบการยอมรับความจริง พร้อมนิทานป้าส้ม มาอีก 1 เรื่อง (พูดน้อยต่อยหนักเหมือนเคยนะคะ 'จารย์)

...คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปมันผิดไหม...
"อืมมม ตอบในฐานะที่ถูกเลี้ยงมาอย่างคนไทย...ผิดค่ะ"

...แล้วคิดที่จะแก้ไขบ้างหรือเปล่า..
".............. คิดค่ะ"

..ถ้ายังมีความคิดนั้นอยู่ก็ถือว่าดีแล้ว ต่อไปเลือกทางเดินที่ถูกที่ควรนะ..
"แหะๆๆ คร้าบบบบ..."

...ต้นไม้หรือดอกไม้ ที่แม้เราเพียรรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ประคบประหงมดูแลอย่างไร มันก็สู้น้ำฝนจากธรรมชาติไม่ได้.. เข้าใจใช่ไหม...
"เข้าใจแล้วค่ะ 'จารย์.. 555"
"สาธุ"


ขอบคุณนะคะ สำหรับคำสั่งสอนที่มีให้เสมอ..
ที่จริงน่ะ ถึงอาจารย์ไม่พูด หนูก็ทราบแล้วค่ะว่าต่อไปควรจะดำเนินชีวิตไปในเส้นทางใด แต่ก็ดีใจค่ะที่มีผู้ใหญ่ตักเตือน ฟังแล้วมันก็รู้สึกอบอุ่นใจ รู้สึกได้ว่าอย่างน้อยก็มีคนที่รักเรา โดยที่ไม่ได้หวังอะไรจากเรา คำพูดของอาจารย์เป็นพรอันประเสริฐเสมอค่ะ ถึงจะโตยังไง หนูก็ยังเป็น "ไอ้ขี้หมาข้างเสา" ในสายตาอาจารย์อยู่ดีใช่ไหมคะ พูดแล้วก็ขำ อายุจะ 30 อยู่แล้ว อาจารย์ก็ไม่เคยเห็นว่าหนูโตสักที เฮ้ออ.. ทำใจแล้วอ่ะว่าอาจารย์จะสต๊าฟหนูไว้ที่อายุ 12-17 ตลอดกาล 555
..
...
....
.....
ชีวิตนี้แม้จะแหกกรอบไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเสียคนในช่วงนั้นก็คงเพราะยังอยู่ในสายตาผู้ใหญ่นั่นแหละ ถ้าไม่ได้พวกอาจารย์ (บางคน) ชีวิตหนูก็คงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้หรอกค่ะ อาจจะกลายเป็นเด็กใจแตก เหลวแหลกไปแล้วก็ได้

อาจารย์อบรมสั่งสอนด้วยวิธีที่หนูไม่ทันรู้สึกตัวด้วยซ้ำ ตอนนั้นก็รู้สึกแค่ว่าเป็นการพูดคุยกันธรรมดาๆ กว่าจะมาเข้าใจแจ่มแจ้งว่าตัวเองซึมซับอะไรมาบ้าง ก็เมื่อตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่แหละค่ะ (จะบอกว่าหนูเพิ่งจะเปิดใจคุยกับอาจารย์อย่างตรงไปตรงมาก็เมื่อวานนี้แหละ 555 คิดว่าอาจารย์ก็น่าจะรู้นะคะ เมื่อวานเราสบตากันอยู่นี่นา อิอิ)

นี่แหละเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมหนูถึงรักและเคารพอาจารย์มาก ถึงแม้จะเรียนจบไปสิบกว่าปี อาจารย์ทั้งสองก็ยังเป็นอาจารย์ตลอดไป ยังเป็นคนที่หนูไม่เคยลืมค่ะ ^^

สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะอาจารย์ ขอให้สุขภาพดี มีความสุขนะคะ

วันศุกร์, ธันวาคม 19, 2551

การรอคอย.. ความพยายามอันสูงส่ง..

การรอคอยช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าหงุดหงิดซะจริง!

ทำไมน้อ.. เวลาที่ใจมัน concentrate กับอะไรสักอย่างนึง มันช่างรู้สึกเหมือน "วินาที" มันแสนยาวนานกว่าจะผ่านไป 1 นาที.. 1 ชั่วโมง.. 1 วัน.. ลุ้นใจแทบขาดอย่างกับจะถูกหวยอย่างนั้นแหละ แต่เวลาที่มีความสุข สนุกสนาน แว๊บบ..บ เวลา 1 วัน ไวเหมือนโกหก!!

คิดได้แบบนี้มันก็เลยทำให้ใจต้องมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาที่มีความสุข เป็นที่มาของนิสัยเสียส่วนตัวที่เป็นมาตั้งแต่วัยเด็ก คือ ถ้ารู้ว่าจะได้เล่นกับเพื่อน หรือทำอะไรที่อยากจะทำ ใจมันจะจดจ่ออยู่กับ "Moment in Time" ตลอดเวลา จิตก็จะพะวงจนพาลทำไม่สนุกเต็มที่อย่างที่ควรทำ เพราะมัวคิดไปถึงแต่ "ช็อต" ต่อไปข้างหน้าว่าเดี๋ยวไอ้กิจกรรมที่เฝ้ารอเหล่านี้มันก็จะผ่านไปแล้ว คิดแล้วก็เซ็งตัวเอง

ทำไมมันเป็นอย่างนี้น๊ออ..อ ..

..จะเริ่มแล้วนะ ช่วงเวลาที่รอคอยมานาน
..กำลังดำเนินอยู่นะ นี่ถึงเวลานั้นแล้วจริงๆ เหรอ ไม่ได้ฝันไปใช่มั๊ย??
..ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ทำไมนาฬิกาเดินเร็วจัง จะหมดแล้วสินะ "ชั่วโมงต้องมนต์"
..แล้วจะมีโอกาสอย่างนี้อีกไหม เมื่อไหร่ล่ะ

นอกจากคนที่เป็นฝ่ายรอ... คนอื่นจะรู้ไหมนะ ว่าการรอคอยมันช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าทรมาณใจจริงๆแม้ว่ามันจะทำให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราเฝ้ารอว่ากว่าจะได้มา มันต้องใช้ความพยายามและความอดทนมากเพียงไหนใช่.. มันซึ้ง...ง..ซึ้งมากๆ แต่มันก็ให้ความรู้สึกที่อึดอัดจนยากจะบรรยายเช่นกัน

คิดว่าเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวข้องกับ "กงกรรม กงเกวียน" บ้างไหม??

เคยไปทำอะไรกับใครไว้ ให้เค้าต้องเดือดเนื้อร้อนใจ เป็นทุกข์เพราะตัวเราบ้างหรือเปล่า??

กรรมสมัยนี้ติดจรวดไม่ต้องรอถึงชาติหน้ากว่าจะรู้สึกตัวหรอก แค่ไม่กี่ปีนี่แหละ 555 คงเพราะคนเราสมัยนี้เน้นแต่ทางวัตถุ ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การทำบุญลดลงล่ะมั๊ง กุศลไม่ค่อยส่ง กรรมมันเลยตามมาเร็วเหมือนเทคโนโลยี เรียกว่าไม่ต้องรอกันนาน

ยังไงก็แล้วแต่เหอะ..
แต่ที่แน่ๆ เวลาว่างๆ ความเหงาจะเข้ามาปกคลุมอย่างรวดเร็ว ได้ feeling โหวงเหวง เคว้งคว้าง วิ้วๆ และเริ่มฟุ้งซ่าน แต่ก็เพราะเราเองเลือกให้ชีวิตดำเนินมาทางนี้ ก็ถือซะว่า มีโอกาสให้ระลึกถึงตัวเองและคนรอบข้าง
ใช้ช่วงเวลาใน "การรอคอย" เพื่อคิดอะไรหลายๆ อย่าง..

คิดถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้น - กว่าจะเป็นวันนี้ เคยทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง บอกตัวเองว่าอย่าทำอีกนะ!!
คิดถึงปัจจุบัน - ณ วันนี้ชีวิตเป็นอย่างไร มีความสุข? หรือ ทุกข์? มีอะไรที่คิดว่าต้องปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น และ
คิดเผื่อไปถึงอนาคต - อันนี้สิยาก 555 เอาเป็นว่าคิดถึงแต่ในสิ่งดีๆ ก็พอ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่าเนอะ อิอิ^^

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 18, 2551

เหงาจัง...

เรานี่คลั่งรักเกินไปหรือเปล่า??


เผลอว่างๆ จะต้องมีคิดแว่บไปหาเค้าทุกทีเลย

คิดถึงช่วงเวลานั้นแล้วก็มีความสุขจนต้องอมยิ้มทุกทีตลกตัวเองชะมัด

ไม่คิดเลยว่าจะแก่อยู่แล้วยังมีอารมณ์วูบวาบเหมือนวัยรุ่นซะขนาดนี้


ไม่ได้เจอ ก็เหงา แต่ก็ต้องทำใจแข็ง ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ (ยากจัง T_T)

ไม่ได้คุย ก็รู้สึกมันว่างๆ โหวงเหวงยังไงไม่รู้


คนอื่นๆ เค้าเป็นกันอย่างนี้หรือเปล่านะ เวลามีความรัก??

บางวันก็อยากให้เวลาผ่านไปเร็วๆ ...เมื่อไหร่จะเลิกงานสักที

แต่บางวันก็อยากให้แว๊บหายไปเลย ...เมื่อไหร่จะถึงวันหยุดที่รอคอย

แค่อยากเจอแต่เค้า ไม่ต้องคุยกันก็ได้ ขอแค่ได้อยู่ในสายตาก็พอใจ


วันนี้เพื่อนยังทักเลยว่า เห็นอาทิตย์นี้หน้าตาผ่องใสเชียวนะ

อ๊ะ! ไม่ได้สิ คนกำลังมีความรักก็ต้องดูแลตัวเองนิดนึง 555


ทั้งที่วันนี้มีงานเลี้ยงปีใหม่ หลายๆ คนคิดเตรียมการแสดงกันซะวุ่นวาย

ส่วนเราน่ะเหรอ เฉยๆ แฮะ ก็อยากให้ถึงเร็วๆ แล้วก็ผ่านไปเร็วๆ

แหะๆๆก็ไม่ใช่ว่าเราไม่ชอบนะ แต่มันมีอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าน่ะสิ


ทำไมนะ..วันเวลาที่มีความสุขมันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว

1 วันราวกับ 1 ชั่วโมง เผลอแป๊ปเดียวก็ผ่านราวกับฝันไป



แต่เวลาแห่งความเหงามันเกาะกุมหัวใจได้นานกว่า

จนรู้สึกว่าแต่ละนาทีที่ผ่านไปช่างเชื่องช้าเสียจริง


นี่ก็เหลือวันศุกร์ที่น่าเบื่อคั่นกลางอยู่วันนึง!!

เมื่อไหร่จะถึงวันเสาร์ซะทีนะ ..

วันพุธ, ธันวาคม 17, 2551

อ้วน แล้วไง!! ..เศร้าอ่ะดิ

โอยยย... ทำไมวันนี้งานมันเยอะจังง่ะ

ก็ดันประมาทเองนี่เรา ลืม EPD/EPW Information ไปได้อย่างไร จะโทษว่า IMCT ไม่ส่ง plan มาให้ไม่ถูกซะทีเดียว ไอ้ไม่ส่งน่ะใช่ แต่เราเองก็ลืมตาม ถึงว่าทำไมมันตะหงิดๆ วะว่าลืมอะไรไปสักอย่างแต่นึกไม่ออกง่ะ เฮ้อ.. เซ็งเป็ด วันนี้หากจุกตูดเลย

Invoices ก็แสนบ้าบอ ออกไปได้ไงฟระ 8 set รวด ทำกันมือหงิกไปข้างนึง แต่ก็ยังดีนะ ที่มาให้ทำในช่วงไม่วุ่นเท่าไหร่ก็ถือว่าแก้อาการว่างงานไปซะละกัน

ใจนี่ไม่อยู่กะเนื้อกะตัวตั้งแต่เช้าละ อยากกลับบ้านไปรอใครบางคน อิอิ^^ คนมีความรักจะเป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าน๊อออ อะไรก็เค้าๆๆๆ ตลอด รู้สึกหมั่นไส้ตัวเองอยู่นิดๆ เหมือนกันล่ะ! หัวใจล่องลอยไปทั่วเลย มีแต่เรื่องจะไปเที่ยวฟุ้งเต็มไปหมด ซึ่งมันก็ดีนะ ทำให้อยากมาทำงานวันจะไปผ่านไปเร็วๆ อยากไปเที่ยวแล้วอ้ะ!!!

นี่เย็นนี้ยังต้องอยู่ซ้อมการแสดงงานปีใหม่ออฟฟิศพรุ่งนี้อีกซะด้วย แต่คงต้องรีบจัดการให้จบใน 45 นาทีนี่แหละ เวลาน้อย!! จะไม่ทำก็ไม่ได้อีก ทีมอื่นนี่โคตรมุ่งมั่นขนาดข้าวกลางวันไม่กินกันเลย ปิดห้องซ้อมการแสดง!! อะไรจะขนาดนั้นน๊อ ส่วนเราน่ะเหรอ หมดไฟไปนานละ จะให้ไปแสดงอะไรตอนนี้ไม่อยากทำเอาซะเลย แขวนหน้ากากมาหลายปีฝุ่นเกาะจนคิดอะไรไม่ออก หน้าไม่ด้าน แบ่งแยกไม่ถูกแล้วด้วย ความอายมันกลับมาอีกแล้ว อีกอย่างตั้งแต่อ้วนเป็นหมูตอนขนาดนี้ เสียเซลฟ์ไปเยอะจนไม่อยากไปโชว์ตัวที่ไหนแล้ว ฮือๆๆ อ้วนแล้วมันแย่อย่างนี้นี่เอง T_T

วันอังคาร, ธันวาคม 16, 2551

Return: ความทรงจำใหม่..หัวใจเดิม

เมื่อคืนมีเรื่องเสียน้ำตาอีกแล้ว ทั้งที่เพิ่งกลับจากไปเที่ยวด้วยกันเมื่อวาน จะว่าเป็นเพราะว่ามีเวลาว่างมากไปมันก็มีส่วนถูก แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เหตุผลส่วนใหญ่น่ะมาจากอะไรเรารู้อยู่แก่ใจ "การคาดหวัง" ยังไงล่ะ

เจ็บปวดจริงๆ ก่อนนอนก็รู้สึกเหมือนตามันเล็กลง ตื่นขึ้นมาตาโตขึ้นเยอะ แต่มันเยอะซะจนบวมไปหมดทั้งตาเลยนี่สิ แม้จะเอาแป้งโปะ เมคอัพอัดเข้าไปยังไง๊ ยังไง มาถึงออฟฟิศก็ยังมีคนทัก "วันนี้เปลี่ยนแป้งหรือเปล่า ดูหน้าขาวๆ" ก็เออสิ! ถ้าหน้ามันไม่ขาว ตามันก็ดำ คงต้องเลือกสักอย่างนึงแหละ

ทางฝั่งเค้าบอกว่าไม่คิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ ทั้งที่เพิ่งตัดสินใจบอก "รัก" ไปเมื่อวันพฤหัสที่แล้ว และก็เพิ่งกลับจากไปเที่ยวด้วยกันมาด้วยซ้ำ นี่เค้าเปิดเผยขนาดนี้ก็ไม่น่าจะคิดอะไรแล้ว มันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีด้วยซ้ำไป ทำไมเราต้องทำให้ทุกอย่างมันพังลงอีก

เหรอคะ.. ก็ไม่รู้นี่คะ จะต้องให้ "สังเคราะห์และวิเคราะห์เอง" ใช่ไหม ว่าที่ทำอย่างนั้นน่ะเพราะอะไร พอดีโง่น่ะคิดไม่ทัน จะเอาหัวที่มีแต่ Bias เต็มหัวไปวิเคราะห์มันจะได้อะไรนอกจากเข้าข้างตัวเองล่ะ เพราะงั้นไม่เข้าใจหรอกค่ะ! รู้แต่ว่าดีใจที่ "ได้ยิน" คำว่ารัก แต่ก็ "รู้สึก" ว่ามันไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่เป็นเพราะอยากได้พฤติกรรม รักหวานแหวว.. จ๊ะจ๋า.. แบบวัยรุ่นหรอกนะ ยอมรับว่ามันก็เป็นสีสันอย่างนึง แต่ก็เข้าใจว่าโตแล้วคงไม่มีอารมณ์มาแอ๊บเด็กอย่างนั้นซักเท่าไหร่ ก็แค่ต้องการความรักอย่างเดิมกลับมา ความรักที่รู้สึกที่ว่าเค้าเต็มที่กับเราจริงๆ

ไม่ใช่รักแบบรักคนอื่น.. ไม่ใช่รักตัวเอง..

เฮ้อออ จะพูดออกมายังไงให้เข้าใจได้ล่ะเนี่ย รักแบบรักจริงๆ รักแบบที่ไม่ได้เห็นตัวเองเป็นใหญ่ ก็ในเมื่อคนที่รักในวันนี้ก็คือคนเดิมในวันนั้น แล้วมันผิดตรงไหนที่ต้องการความรักแบบเดิมจากคนเดิม??

แล้วไอ้คำถามซ้ำๆ ซากๆ ที่น่ารำคาญนั่นแหละ มันช่วยบอกได้ว่าคนที่พูดน่ะเป็นคนเดิมหรือเปล่า? บอกคนอื่นว่าเป็นแฟนมันก็ดีหรอกนะ เปิดเผยว่าคบกันอยู่ ซึ่งก็โอเคอยู่แล้ว เมื่อก่อนก็อยากทำมานานแล้ว แต่ลึกๆ แล้วรู้ว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะเอาไปให้ใครดูหน้าได้ว่าเป็นแฟน (อายตัวเอง)

แต่สงสัยว่าตั้งแต่กลับมาคบกัน เราเคยตกลงคบกันอย่างจริงจังหรือเปล่าว่าเป็นแฟนกัน ??
ถ้ามองฝั่งเรา ใช่สิ เราน่ะแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน อยากกอดรัดฟัดเหวี่ยงทุกทีที่เจอหน้า ไอ้เรื่องอยากเป็นแฟนเค้าล่ะแน่นอน ส่วนเค้าล่ะ เจอก็เฉยๆ ทำท่าเหมือนเจอคนรู้จักงั้นแหละ ตั้งแต่คบกันมามีสักครั้งไหม ที่เค้าจะจับมือเราก่อน เค้าเคยกอดเราก่อน?? เออ เนอะ เพิ่งจะคิดได้ว่าไม่มี!!
(รู้สึกสมน้ำหน้าตัวเอง -_-" หน้าไม่อายจริงๆ เลยเรา)

ข้อมูลสุดท้ายที่มีก่อนหน้านี้คือ เราบอกรักเค้า แต่เค้าเลี่ยงๆ ที่จะพูดอะไร พอบีบคั้นมากๆ ก็พูดออกมาว่ายังไม่ได้รัก แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าคิดอย่างไรกันแน่ ไม่อยากจะโกหก หรือพูดอะไรที่ไม่ได้มาจากใจจริงๆ แต่ถ้ามันฟังแล้วสบายใจ จะให้พูดว่ารักก็ได้นะ (นี่ถ้าชั้นบอกว่าก็ได้ มันจะทุเรศกว่านี้ไหมเนี่ย)

"บอกรักไปแล้วไม่ใช่แฟนแล้วจะเป็นอะไร ไม่อยากเป็นก็ได้นะ ยังไงก็ได้"

เสียใจนะ โกรธมากด้วย ที่ได้ยินอย่างนั้น สมองนี่จี๊ดขึ้นมาทันที คิดอยู่ว่าจะพูดสวนไปดีไหม

"ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้อง!!"

เมื่อก่อนเป็นคนแบบนี้หรือคะ ความละเอียดอ่อน ความใส่ใจมันหายไปไหนหมดแล้ว นี่คุณเป็นคนเดียวกับคนที่ชั้นรักหรือเปล่า??

ฟังดูเหมือนเสียสละตัวเองมากเลยนะ ยอมคบด้วยเนี่ยเพราะสงสาร โห..นี่เราน่าทุเรศขนาดนี้เลยเหรอ ต้องมาง้อผู้ชาย พยายามอ้อนวอนให้เค้ารัก นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาตะหงิดๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนอย่างนี้เล้ยยย
..
..
..
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะพูดไปแล้วล่ะ แต่ตอนนี้กำลังสำนึกผิดอยู่ว่าที่เค้าเปลี่ยนไปแบบนี้ก็เพราะเรา เพราะงั้นต้องยอมทน พยายามจะเข้าใจ ไปพร้อมๆ กับรอว่าคนรักคนเดิมจะกลับมาได้หรือเปล่า ชั้นรักคนๆ นั้นอ่ะ คนที่อบอุ่นและนุ่มนวล คนที่ให้ชั้นได้ทุกอย่าง คนที่ชั้นเชื่อว่าเค้ารักชั้นจริงๆไม่รู้ว่าเค้ายังอยู่แถวนี้หรือจากไปไกลแล้ว..

รู้ว่านะว่าตัวเองทำผิดไว้มาก มันคงมากๆๆๆ เสียจนทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ถ้าเป็นตัวเองยังไม่รู้จะรับได้หรือเปล่าเลย (น่าจะไม่ได้แหละ) เพราะงั้นอย่างที่พูดออกมาเมื่อคืนนั่นแหละ ความน้อยใจ เสียใจที่แบกไว้ในใจตลอดมา เข้าใจดี
..บอกว่ารักคนเดิมแล้วทำไมตอนนั้นไม่รัก
..เป็นเมียน้อย
..เห็นแก่ตัว
..(คงมีอีกเยอะ ที่อยากจะพูดออกมา แต่ไม่อยากให้คนฟังเสียใจ)

ยอมรับผิดทุกอย่างค่ะ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวทั้งนั้น..
รู้ตัวว่าทำสิ่งที่เลวร้ายลงไปมากขนาดไหน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นคนเจ็บเองแต่ก็สัมผัสได้จากความเสียใจของคนที่เรารักได้รับกรรมที่ต้องฝืนความรู้สึกตัวเองแสร้งทำว่าชีวิตปกติดีทั้งที่ในใจมันอยากไปหาใจแทบขาด ต้องเสียตัว (เจ็บตัว) เสียของ (พังไปเป็นแถบๆ) ต้องเห็นคนที่เรารักเสียใจทั้งที่มันเกิดจากตัวเราเอง สิ่งที่เป็นกำลังใจได้ ก็คือความหวังว่า วันนึงคงมีโอกาสได้มีความรักดีๆ อีกสักครั้ง

เพราะงั้นในวันนี้จึงอยู่ตรงนี้ ขอโอกาสเพื่อแก้ตัวในสิ่งที่ทำผิดพลาดลงไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกหรือเปล่า แต่ก็อยากจะลองพยายามทำอะไรเพื่อรักอีกสักครั้งกับคนที่เคยทำให้เราเชื่อว่าเค้ารักเรามากจริงๆ อยากให้เค้าได้เข้าใจว่าเรารักเค้ามากเช่นกัน ชีวิตนี้คงไม่คิดจะไปมีอะไรกับใครอีกแล้ว ปีหน้านี่ก็ 30 แล้วนะ เพียงพอแล้วกับความรักๆ ใคร่ๆ แบบวัยรุ่น หมดเวลาที่จะตามหา Mr. Right Man แล้วล่ะ มันคงได้เวลาจะหยุดอยู่กับใครสักคน แต่ถ้าในอนาคต ความรักมันไม่เป็นไปอย่างที่คิดจริงๆ ก็คงแล้วแต่ชะตา เราอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อมีใครสักคนเคียงข้างก็ได้ คิดว่างั้นนะ

แม้ว่าวันนี้กล้าที่จะตัดสินใจทิ้งใครบางคนมาเพื่อจะเริ่มต้นใหม่
แต่คนรักคนเดิมของเรา เค้าคงจะยังรอเราอยู่ที่เดิมหรือเปล่านะ..
คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ คือเค้าหรือเปล่า..

วันพุธ, ธันวาคม 03, 2551

ธันวาคม เดือนแห่งความสุข (...สงวนลิขสิทธ์สำหรับคนมีคู่เท่านั้น!!.. )

โอ้.. แม่เจ้า เซ็งสุด!!


อุตส่าห์นั่งพิมพ์ข้อความไว้ยาวพรื่ด แถมกำลังบิวท์ได้สุดๆ แต่น้อง dell สุดที่รักดันฝันค้าง จนทำให้ต้อง "จิ้ม" เครื่องไปอย่างลืมตัว มาคิดได้อีกทีหน้าจอว่างเปล่า



Starting Windows...



ฉิบ!!



ยังไม่ได้เซฟซะด้วยสิ แล้วนี่จะจำได้ไหมวะเนี่ยว่าพิมพ์อะไรไว้อ่ะ ไม่เป็นไร วันนี้ว่างๆ นั่งระลึกชาติดูอีกทีก้อได้ ไหนๆ งานก็ไม่เยอะอยู่แล้วหนิช่วงนี้...


...



...เดือนสุดท้ายของปีอีกแล้วสินะ..ยังไม่เห็นมีใครมากอดเลย..



เฮ้ยย!! ไม่ใช่!!!



ได้ยินเรื่อง "ลมหนาว" "อากาศเย็น" "ปลายปี" "ธันวาคม" ทีไร อดคิดถึงหนุ่มน้อยสุดหล่อลูกชาย'จารย์วินไม่ได้ ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มแล้วมั๊ง น่าจะหล่อใสเหมือนพ่อ


"ลมหนาวพัดมาอีกแล้ว.. ยังไม่เห็นมีใครมากอดเลย.."


เสียงแจ๋วๆ ของน้องภูมิก็ยังคงประทับใจเราอยู่จนถึงวันนี้ เด็กหนอเด็ก..ไปได้ยินมาจากไหนกันน๊อ!! ฟังแล้วน่าจับตัวมาฟัดซะให้เข็ด 55++



แป๊ปเดียวเดือนธันวาคมเวียนวนกลับมาอีกแล้ว ..กำลังจะแก่ขึ้นอีกปี.. (ไม่สิ! อันนี้ไม่อยากพูดถึง) มันทำให้นึกถึงฤดูหนาว เทศกาลคริสมาสต์ ปีใหม่ และของขวัญ ซึ่งทุกๆ ปีจะได้พบเจอสิ่งเหล่านี้เป็นประจำ และก็มักจะเป็นช่วงเวลามีเรื่องราวอะไรให้กระชุ่มกระชวยหัวใจไปได้อีกนาน ^^



อย่างเช่น คริสมาสต์ปีโน้น.. เวลาค่ำๆ ฟ้ากำลังมืด ยืนอยู่ที่ท่าน้ำโรงแรมแมริออท ใต้ต้นคริสมาสต์ประดับไฟสวยๆ ใส่ชุดราตรีไปยืนรับลมที่ท่าน้ำ อากาศโคตรหนาวเลย แต่เพื่อบรรยากาศงามๆ นู๋ทนได้!! ยืนๆ สั่นๆ แล้วก็มีเสื้อสูทตัวใหญ่มาคลุมใหล่ให้ เอ้อ..อ ละค้อน..ละคอน โรแมนติกโคตรๆ ..ชีวิตนี้ชั้นจะมีโอกาสได้ไปทำซึ้งริมแม่น้ำอีกหรือเปล่าวะเนี่ย?? 55++



นึกๆ ถึงหนังที่มีบรรยากาศปีใหม่ได้เรื่องนึง "รักแห่งสยาม" ไปรื้อมาดูอีกทีท่าจะดี ถ้าไม่ติดว่ามีฉากผู้ชายจูบกันอ่ะนะ ทำเอาหมดอารมณ์ไปหน่อย แต่พระเอกสองคนน่าร๊าก..ก ทำให้มองข้ามช็อตนั้นไปได้ แต่คาดว่าหนังซึ้งๆ อย่างนั้น ดูแล้วจะมีน้ำตาตก 55++ (หัวเราะตัวเอง)



วันนี้ตั้งแต่เช้า ได้ยินใครก็พูดกันเรื่องโปรแกรมวันหยุดและช่วงปีใหม่ ต่างคนต่างก็คิดหาที่ท่องเที่ยวกันอย่างมีความสุข ไอ้เรานี่ก็นั่งคิดเหมือนกัน คิดว่าปีนี้ตรูจะทำอะไรดีฟะเนี่ย เหงาจัง T_T ทำไมปีนี้รู้สึกว่าฤดูหนาวของเรามันช่างเงียบสงบซะจริงๆ ไม่มีไอเดียใดๆ จะบรรเจิดขึ้นมามั่งรึไงเนี่ย -_-?



ปีก่อนๆ ก็ขับรถขึ้นเหนือ ท่องเที่ยว ชื่นชม อากาศเย็นๆ ที่คนกรุงเทพไม่ได้สัมผัส ตกดึกก็กางเต้นท์ จุดเทียน ผิงกองไฟ นั่งฟังเพลงกินข้าว มีความสุขอย่างสบายๆ ปนหนาวๆ (แอบคิดว่ามาทรมาณตัวเองทำไมวะ) แถมยังติดใจ "ถนนคนเดิน" ที่เชียงใหม่อยู่ไม่หาย ไปทีไร..ต้องไปเดิน แล้วเดินทีไร..ก็ต้องมีของติดมือมาทุกทีสิ!



แต่ปีนี้.. ไม่เหมือนปีไหนๆ ไอ้ครั้นจะขึ้นเหนือคนเดียวมันก็ได้อยู่ แต่แค่คิดว่าไปที่ไหนก็ต้องเจอคนเป็นหมู่คณะ หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเรา ขี้คร้านจะเศร้ามากกว่าหดหัวอยู่บ้านซะอีกมั๊งนั่น!



เฮ้อ..อ บอกได้คำเดียว "เซ็งว่ะ"



พยายามคิดอยู่ว่า 1 เดือนที่เหลือของปีนี้ เรามีกิจกรรมอะไรทำมั่ง เผื่อมีอะไรดีๆ ที่พอจะทำให้ชีวิตมันกระชุ่มกระชวยขึ้นมามั่ง

คิดแล้ว.. คิดอีก.. คิดไม่ออก -*-.



ทำไม ตูข้านี้ช่าง โลนลี่ อิน เดอะ แพลนเน็ต ขนาดนี้ ฟระ!!



13-14 ธ.ค. (เสาร์-อาทิตย์) ไปเที่ยวกับออฟฟิศชาวบ้าน เป็น guest ผู้ติดตามที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ในฐานะอะไรดี แต่ก็อยากไปนะ..เพราะอยากอยู่กับเค้าอ่ะที่ไหนก็ได้..ไปด้วย


17 ธ.ค. (พุธ) วันเกิดแม่ ก็คงเหมือนกับทุกๆ ปี พาแม่ไปตักบาตร แล้วก็ไปกินข้าวเย็นด้วยกัน


18 ธ.ค. (พฤหัส) งานเลี้ยงของออฟฟิศ New Year ที่ Fabric รู้สึกว่าจะอยู่เกษตร-นวมินทร์ แต่ไม่รู้พิกัดที่แน่นอน ก็คงเหมือนเดิม กินๆ ฮาๆ มีของติดมือกลับบ้าน (คาดว่าจะเป็นของใช้ในครัวเรือนอีกตามเคย ปีก่อนได้หม้อสุกี้ ปีโน้นได้เตารีด ปีนี้จะได้อะไรล่ะเนี่ย??)


หมดแล้วอ่ะ ฤดูหนาว อากาศชิล..ชิล ทั้งที แต่ไม่มีเรื่องอะไรให้ตื่นเต้นซะเลยน๊อ..อ



เฮ้ออ .. (ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย) ปลายปีนี่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขของคนมีคู่ซะจริงๆ ตามห้างร้านต่างๆ ก็มีการประดับไฟสวยงาม อากาศก็สบายๆ ไอ้คนที่เหมือนๆ จะมีคู่ กำลังก้ำกึ่งลูกผีลูกคนอย่างเรา มันก็ต้องสุขๆ เศร้าๆ สลับกันนี่ล่ะนะ


เมื่อไหร่เค้าจะมองเห็นความรักของเราซะทีนะ คิดแล้วมันก็น้อยใจ ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยเราก็ยังมีคนให้คิดถึงล่ะวะ




คิดถึงตัวกลมๆ เนื้อแน่นๆ จังเลย


เจ้าตัวเค้าจะรู้มั๊ยว๊า ว่า มีคนคิดถึงเนี่ย


อยากจะบอกกับเจ้าตัวก็บอกไม่ได้ พูดบ่อยๆ เค้าก็เห็ว่ามันแค่คำธรรมดา ดีไม่ดีจะรำคาญซะเปล่าๆ อึดอัดจริงว้อยย รักหรือไม่รัก คิดถึงรึเปล่า แคร์ความรู้สึกกันมั่งมั๊ย!!!

วันอังคาร, พฤศจิกายน 25, 2551

รึเราเอาหัวใจไปติดไว้กับตีนคนอื่น??

กำลังสองจิตสองใจกับเจ้า "e-mail ยามเช้า เวอร์ชั่นน้ำตาซึม"
ว่าจะส่งไปให้เจ้าตัวอ่าน หรือว่า จะเก็บไว้เป็นความลับคับอกตัวเอง อันไหนจะดีกว่ากัน

คิดไปคิดมา...
ส่งไปมันก็คงไม่ทำให้อะไรดีขึ้น นอกจากจะมีเสียงถอนหายใจแบบเซ็งๆ ที่คนฟังยิ่งเซ็งมากขึ้นอีกเอามาแปะที่นี่ ท่าจะดีที่สุด แต่ยังไงซะมันก็ไม่ได้ถ่ายทอดสด ดีกรีความสมจริงก็อาจจะลดลงบ้างนะ

สวัสดีค่ะ
ขอโทษที่เมื่อคืนทำให้หงุดหงิด รู้ว่างี่เง่าไปจริงๆสารภาพตามตรงว่าอารมณ์ไม่ค่อยดีเพราะมันเหงาน่ะ รู้ว่าพี่มีธุระต้องทำ และก็เพิ่งเจอกันเมื่อวันหยุด พี่ต้องทำงานแต่ก็ยังแวะมาหาหลังเลิกงานก็น่าจะพอใจแล้ว

แต่ไหนๆ แน็ตก็อยู่แถวนั้นเลยอยากเจอน่ะ ถึงปากจะไม่เซ้าซี้ ดื้อดึงจะต้องเจอให้ได้ แต่ในใจมันรู้สึกว่ามีแต่เราที่อยากเจอเค้าข้างเดียว มันก็เลยยิ่งตอกย้ำความคิดว่า พี่ไม่ได้รักแน็ตอย่างที่แน็ตรักพี่ ..ก็เลยเสียใจ..
พอรู้สึกแย่ๆ ก็ไม่อยากอยู่คนเดียว เลยไปเดินเล่น หาอะไรทำ ซึ่งมันก็ไม่ได้ดีขึ้นมาเท่าไหร่ นอกจากเวลาเดินดูโน่นดูนี่ ช่วงเวลาเล็กๆ ที่ไม่ได้คิดอะไรนั่นแหละ

ใจก็เหนื่อย กายก็ล้า เลยลากสังขารกลับบ้านพยายามทำตัวร่าเริง ไม่อยากให้พี่หงุดหงิดที่ได้ยินเสียงอมทุกข์แต่พี่คงจะไม่เข้าใจ ปนรำคาญว่าเดี๋ยวก็อารมณ์ดี เดี๋ยวก็เศร้า ปรับไม่ทันที่จริงน่ะเศร้าตลอดค่ะ มันน้อยใจ มันเสียใจ แต่ก็รู้ไงว่าพี่ไม่ง้อแน่ๆ ไม่อยากได้ยินอะไรที่บั่นทอนกำลังใจตัวเองไปมากกว่านั้นแต่แล้วก็ปากหาเรื่องไปถามเอาคำตอบสะกิดหัวใจขึ้นมาเอง

"คิดถึง.. บ่อยๆ ก็รำคาญ แต่ก็ทนได้ ถ้าทำให้อีกคนนึงสบายใจ"
โห มันโดนเลยนะ พี่คงหงุดหงิดมากแหละถึงได้พูดอย่างนี้ แสดงว่าเราทำให้เค้ารู้สึกไม่ดีแล้วล่ะที่จริงมันก็ดีที่พี่เป็นคนพูดตรงๆ แต่แน็ตเองที่รับความจริงไม่ได้มากกว่า ไม่เชิงว่ารับไม่ได้สิ มันอึ้งชั่วขณะ เหมือนมันต้องมีเวลาให้คิดก่อนจึงจะเข้าใจขอบคุณค่ะ ที่พูดตรงๆ มันดีกับตัวแน็ตมากกว่าจริงๆ แหละ

ตลอดเวลาที่ผ่านมารู้สึกเกรงใจอยู่ตลอดที่เหมือนตัวเองไปเป็นภาระให้อย่างที่พี่บอกว่าตอนนี้ความสนใจพี่มุ่งไปที่งาน ที่อนาคตมากกว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆเรื่องรักในตอนนี้มันเป็นแค่มุมเล็กๆ ที่รู้สึกบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็สามารถหาอะไรอื่นมาทำให้ลืมไปได้

แต่สำหรับแน็ตแล้ว ยิ่งในเวลาที่มันเคว้งคว้างอย่างนี้ แน็ตต้องการความรักและกำลังใจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้เหมือนอย่างที่ใจเคยคิดไว้ อยากรักก็รัก ไม่ต้องคอยเก็บไว้ในใจ พูดไม่ได้ แสดงออกไม่ได้ เพราะมีชนักติดหลังอยู่ มันทรมาณมากเลยนะ
(แต่ไม่รู้สินะ เท่าที่คุยกัน รู้สึกเหมือนพี่จะชอบให้แน็ตเป็นอย่างนั้นมากกว่า ไม่แสดงออกอะไรมาก คิดอะไรก็ไม่พูด รักหรือเปล่าก็ไม่บอก ต้องให้พี่ถามเองด้วยซ้ำว่ารักบ้างไหม)

รึอย่างนั้นมันท้าทายมากกว่า แต่น่าเสียดายที่แน็ตไม่ใช่พวกใจแข็งอะไรอย่างนั้นซะด้วย ปากแข็งน่ะใช่ ที่เป็นตอนนี้แหละค่ะ ตัวจริง อ่อนไหว งอแง และงี่เง่า

เมื่อคืนจาโทรมาหา เจอแน็ตกำลังสะอื้น ก็เลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรไหมก็บอกไปว่าไม่เป็นไร คิดมากเองเลยเสียใจเองน่ะเค้าก็ถามว่าเรื่องพี่ใช่ไหม แล้วก็ถามอะไรอีกหลายอย่างที่ฟังแล้วมันตรงกับที่ใจกำลังคิดก็เลยร้องไห้ใส่เค้าไปซะรอบนึง

ได้ระบายมันก็ดีขึ้นนะ แต่ยังไงแน็ตก็คงไม่กลับไปคบกับเค้าแบบเดิมอีกแล้ว เพราะรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ไม่เอาอีกแล้วความรักแบบนั้น แน็ตไม่ได้มีใจชอบผู้หญิงในแบบนั้นตั้งแต่แรกคบไปมันก็ทรมาณใจทั้งสองฝ่าย เค้าก็ไม่ได้ในสิ่งที่เค้าต้องการ ส่วนเราก็ต้องฝืนใจตัวเอง จะทำไปทำไม

แน็ตยอมร้องไห้เสียใจเรื่องพี่ เพื่อสักวันมันจะมีจุดที่ลงตัวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดีกว่าที่จะกลับไปในวังวนเดิมตอนนี้แน็ตเลือกที่จะรักพี่ ไม่ว่ามันจะต้องเจออะไรก็เต็มใจที่จะรับอย่างน้อยก็ดีใจว่า เราพยายามแล้วที่จะมีความรักอย่างเต็มที่กับใครสักคน

นอนร้องไห้จนหลับไปตอนตีหนึ่งมั๊ง สะดุ้งตื่นมาตอนตีห้ากว่า แล้วก็หลับตานอนต่อตื่นมาอีกที 7 โมง พอสมองได้พักบ้าง ก็คิดได้ว่า "ช่างมัน" อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
จะต้องพยายามทำใจให้ได้!!

ต่อไปนี้จะไม่เอาความรู้สึกเก่าๆ มาคิดอีกแล้ว
ในเมื่อทุกอย่างมันไม่ได้เริ่มต้นจากจุดเดิมที่จากมา เราจะไปหลอกตัวเองอยู่ทำไม??
ถ้าเอาความรู้สึกนั้นมาคิดก็จะมีแต่เราที่ต้องเจ็บ

เริ่มต้นกันใหม่

เราเป็นคนที่กำลังดูๆ กัน อย่างที่พี่พูดไว้
สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าทุกวันนี้แหละคือความจริง
ถ้าแกร่งไม่ได้ ก็ตายไปซะ 555
หัวใจ อย่าไปผูกติดกับปลายตีนใคร ถ้าเค้าจากไป เราจะไม่เหลืออะไรเลย นอกจากรอยเท้าให้เจ็บช้ำ..

ถึงเมื่อเช้าจะคิดอย่างนี้แต่ทำไมนะ เกือบจะเลิกงานแล้ว ใจมันก็ยังเฝ้ารอเมลที่จะเข้ามาอยู่ดี

ถึงจะไม่ใช่เด็กอายุ 17-18 แล้วยังไง
จะไม่รู้สึกอะไรกับความรักเลยอย่างนั้นเหรอ
ต้องนิ่งเงียบ ไม่แสดงออก ไม่หวั่นไหว
อย่างนั้นใช่ไหมถึงจะเป็นผู้ใหญ่พอ??

ลืมไปแล้วมั๊งคะ ว่าวันที่เรามีความรัก เรารู้สึกอย่างไร??

วันจันทร์, พฤศจิกายน 10, 2551

น้ำยา หรือ น้ำเปล่า?? ### เวทมนต์ - ผีหลอก - ละเมอ??

วันนี้ได้รับบทเรียนราคาแพงอีกแล้ว

ไม่นึกเหมือนกันว่าการที่เราพยายามเป็นเพื่อน กลับทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทางกาย ทางใจ และที่สำคัญคือทำให้คนที่เรารักและรักเราต้องผิดหวังกับการ

"ไม่รู้จักเจ็บ" ของตัวเราเอง (อย่างที่เค้าพูด)

แต่สำหรับตัวเองเราว่า

"เจ็บไม่รู้จักจำ" มากกว่านะ

ใครจะไปคิดล่ะว่า (แต่คนอื่นคิดหมดยกเว้นตัวเราเอง) แค่เวลาไม่ถึง 3 นาที "น้ำยา" กลายเป็น "น้ำเปล่า" ได้ในบัดดล จะบอกว่ามันผิดมาแต่แรกมันก็ไม่ใช่ เพราะเราเป็นคนเปิดขวดเองมันก็ยังเป็นยานี่หว่า แต่เราเองก็ประมาทซ้ำๆ ทั้งที่สงสัยตั้งแต่แรกกลับไม่พิสูจน์ให้แน่ใจตั้งแต่ตอนนั้น ทำได้แค่คิดๆๆๆ แต่ไม่ทำ เฮ้อ.. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็เถอะ ก็คือ "ประมาทในการใช้ชีวิต" อยู่ดีนั่นแหละนะ

อภัย ครั้งที่หนึ่ง คือ คนปกติ
อภัย ครั้งที่สอง คือ คนมีจิตใจดี
อภัย ครั้งที่สาม คือ พระเวสสันดร
ถ้ามีครั้งที่สี่ สงสัยเป็นควายอย่างแน่แท้ -_-"


วินาทีที่เปิดกล่องยาใหม่ออกมา ความข้องใจที่มีก็กระจ่างในทันที

..โดนเข้าไปอีกแล้วรึเนี่ย..

ยิ่ง 2-3 นาทีต่อมาที่ดิ้นทุรนทุราย น้ำตาร่วง อยู่ในรถคนเดียว ทั้งปวดหู ปวดหัว และความเสียใจทุกอย่างประดังเข้ามาพร้อมๆ กัน
ท่าทีแสดงความเป็นเพื่อนที่มีนั่น เสแสร้งล้วนๆ เลยสินะ...แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็คงไม่สามารถทำได้ ตระหนักแล้วว่าเค้าไม่ได้หวังดีต่อเราเลย ..คิดได้เมื่อสายไปอีกตามเคย..

ที่ผ่านมาแม้เราจะคิดถึงความสัมพันธ์ดีๆ เมื่อก่อน อยากให้ปรับตัวเป็นเพื่อนกัน แต่เค้าก็ไม่ได้คิดแม้สักนิด ต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้วล่ะ การติดต่อคงต้องตัดขาดไปเลยจริงๆ สักที เจ็บตัวน่ะ ไม่เท่าไหร่ เสียใจหนักกว่าที่ทำให้คนที่เค้าแคร์เราต้องผิดหวัง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้ พูดไปคงไม่มีใครเชื่อ แม้เราจะยืนยันอย่างไรก็ตาม

ที่ผ่านมาเลิก เราเลิกรักแบบนั้นแน่ๆ แต่ยังอยากเป็นเพื่อนอยู่ แต่จากนี้ต่อไปแม้แต่เพื่อนก็คงไม่เอาแล้ว ความระแวงมันมีมากกว่าความไว้ใจ อย่างนี้ฝืนคบกันไปก็คงมีปัญหามาไม่จบไม่สิ้นอยู่ดี เพราะงั้นเราถึงเอ่ยปากขอตัวช่วย อยากตัดให้ขาดจริงๆ เสียที

ส่วนเรื่องทางตัวเราเอง ก็คงต้องทำอย่างที่เค้าบอก "เวลา" "พฤติกรรม" เท่านั้นที่จะพิสูจน์ทุกสิ่ง ในเมื่อเราเลือกที่จะรักเค้าแล้ว เราก็ไม่อยากทำให้เค้าผิดหวังอีกต่อไป

มั่นใจนะว่า "รัก" ที่มีอยู่ในใจจะทำให้เราสามารถฝ่าฟันความรู้สึกนี้ไปได้

แต่บางที รักเองก็ต้องการยาของหัวใจนะ
ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตในทุกๆ วันอย่างปกติสุขดี
ลึกๆ ในใจยังมีความข้องใจอยู่ตลอดว่า เราเป็นอะไรสำหรับเค้ากันหนอ
บางทีก็อ่อนโยน อบอุ่น ทำให้หัวใจพองโต รู้สึกเป็นสุขที่สุดจนไม่อยากให้เวลาผ่านไป
แต่บางครั้งรู้สึกเหมือนหายใจขัดๆ ไม่รู้จะทำตัวยังไงถึงจะเหมาะสมในเวลานั้น
เวลารักใครจริงจังต้องรู้สึกแบบนี้หรือ??

สับสน..วุ่นวายใจ..
เมื่อไหร่นะ ชีวิตจะรู้สึกมีความสุขได้จริงๆ เสียที

วันศุกร์, พฤศจิกายน 07, 2551

ในที่สุดมันก็มาเยือน!!!

โอ้ ก็อต....ต

ไม่จริง!!!!มันต้องไม่จริงแน่ๆ

มาได้ไงวะเนี่ย "ผมหงอก"

เครียดเว้ย~ ย กรรมติดจรวดจริงๆ เมื่อวานเพิ่งจะไปถอนผมหงอกใครบางคนมา 2 เส้นคือที่จริงเห็นมาสักพักใหญ่แล้ว แต่ไม่กล้าไปแหวกดูชัดๆ กลัวจะโดนว่าเล่นหัวผู้ใหญ่อีก เคยโดนมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกอายง่ะเพราะเราก็ไปเล่นหัวเค้าจริงๆ จำฝังใจ ตั้งแต่นั้นมาไม่กล้าไปเล่นอีกเลย กลัวว..ว อย่าว่าเค้านะ..ตะเอง (ต๊องส์โคตร 555)

แต่เมื่อวานอดไม่ได้จริงๆ เริ่มจากลูบต้นคอก่อน ไปๆ มาๆ เลยไปเล่นผมเค้าซะแล้วก็เลยไปถอนหงอกติดมือมาซะ 2 เส้น (เลือกเอาเส้นที่มันเห็นชัดที่สุด อยู่บนสุด จะได้มีข้ออ้างว่าเพื่อความสวยงามค่ะ)ที่จริงน่ะกำลังมันส์มือได้ที่ แหะๆคิดอีกทีถ้าถอนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวผมจะบางไปซะก่อน เกรงใจพี่เค้าอ่ะ

ใครจะไปคิดว่าวันนี้นั่งทำงานอยู่ดีๆ
มีคนมาบอกว่า พี่~~~~ มีผมหงอกด้วย ว่าแล้วมันก็ดึงเลย..

ตรูยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ T_T เอ็งรู้จักคำว่าขออนุญาตบ้างป่าววะเนี่ย ไอ้แพร!!!)

"ปึ้ด"

เสียงหงอก 1 เส้น หลุดออกจากหัว พร้อมกับเสียงกรีดร้องของเรา

"กร๊าซ.....ซซซซ....ซ"

เจ็บน่ะ ไม่เท่าไหร่ แต่... หงอกได้ไงวะ เครียดๆๆ

เครียดมากเกินไปรึเปล่า???
คิดมากไปแน่ๆ เลยช่วงนี้

ไม่อยากจะคิดเลยว่า .... ... ... .. ..หรือว่าเราจะแก่ไปแล้วจริงๆ ง่ะ

เรื่องเศร้าประจำเย็นวันศุกร์ ฮือๆๆๆ

วันจันทร์, พฤศจิกายน 03, 2551

อะไร คือ ความเป็นจริง??

ยังมีเรื่องให้สับสนไม่เลิกแฮะ

ตกลงว่า "เจ้าหมอนั่น" มีตัวตนจริงๆ หรือเปล่าหว่า??
แต่ถึงไม่มีก็ถือว่าเราบอกผ่านความรู้สึกตัวเองไปถึงเค้าในอีกรูปแบบหนึ่งก็แล้วกันนะ
(ถ้าเค้าเกิดอ่านแล้วคิดได้ขึ้นมาบ้างน่ะ)

ถ้ามีจริงก็ดี อยากให้มีใครสักคนให้ความดูแลจาแทนเราได้ ซึ่งเท่าที่ได้ยินมาก็เข้าขั้น PERFECT! เลยทีเดียว (ไม่นับว่าเป็นผู้หญิงอ่ะนะ) รูปร่าง+หน้าตาดี ชาติตระกูลดี ฐานะดี การศึกษาดี ทุกอย่างดีไปหมด เพราะงั้นมันคงดีกว่าอยู่กับเราเยอะ แต่จะทำยังไงให้จาหันไปมองเค้าได้หว่า แต่จะว่าไปเราก็ทำได้แค่เชียร์อยู่ห่างๆ เพราะมันก็เรื่องของคนสองคนไม่มีใครตัดสินใจแทนได้

มาดูเรื่องของตัวเองดีกว่า
ก็สุขๆ ดิบๆ ไปเรื่อยๆ เหมือนๆ ทุกอย่างจะลงตัว แต่มันก็ยังไม่ลงตัว 555
ชีวิตก็อย่างนี้ล่ะนะ ตราบเท่าที่ยังอารมณ์ดีๆ อะไรๆ ก็ยังพอทำใจให้ไปเรื่อยๆ ได้ แต่หากวันไหนจิตตกขึ้นมา น้ำตาร่วงได้ทันทีเหมือนกัน

อย่างเมื่อวานอยู่ๆ ก็หมดแรงซะงั้น นอนกระพริบตาปริบๆ น้ำตาไหล พยายามไม่คิดอะไร ใจแมร่งก็ไม่ฟังซะเลย เหมือนยิ่งว่ายิ่งยุ คิดๆๆๆ จนในที่สุด ไม่ไหวแล้วเว้ย~~~ย นอนอยู่เฉยๆ ดีกว่าไม่ทำอะไรแล้ว!! แต่พอสักพักมีกำลังใจขึ้นมา อาการงี่เง่าก็หายเป็นปลิดทิ้ง ตกลงว่าชั้นอ่อนแอ หรือเข้มแข็งกันแน่ฟะเนี่ย..

วันพุธ, ตุลาคม 29, 2551

ท้องก่อนแต่ง ทำแท้ง และเบนโล

หลายวันก่อนได้อ่านกระทู้แนะนำอันหนึ่งของ 1000ทิป เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องท้องก่อนแต่ง ทำแท้ง และเบนโล อะไรประมาณนี้แหละ

จขกท เล่าเรื่องเพื่อนสนิทมาปรึกษาเรื่องทำแท้ง ด้วยความเป็นเพื่อนแม้ไม่เห็นด้วยแต่ก็ช่วยเพื่อน แม้จะผ่านมาเป็นสิบปี แต่ก็ยังรู้สึกผิดมาจนทุกวันนี้ ส่วนความเห็นต่างๆ ก็มาในทำนองเดียวกัน เคยเจอ-เคยเห็น-เคยมีส่วนร่วมกับการทำแท้ง แต่ทุกคนก็พูดเหมือนกัน คือ ไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้

น่าแปลกนะ.. ในเมื่อทุกคนไม่เห็นด้วยกับการทำแท้ง
แต่ทำไมเรื่องทำนองนี้ถึงยังเกิดขึ้นได้เสมอล่ะ??

ไอ้เรื่องมีอะไรกันก่อนแต่งงาน อันนี้ยอมรับว่า สังคมปัจจุบัน คนอายุ 25ปีขึ้นไปน้อยมากที่จะเหลือรอดอยู่ได้ (ที่พูดนี่เพราะชื่นชมนะ) รักสนุก..ทุกข์ถนัด เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ทั้งที่คนเราสมัยนี้การศึกษาก็สูงขึ้น เรื่องการคุมกำเนิดน่าจะเป็นเรื่องที่คนส่วนมากน่าจะพอรู้อยู่บ้างแต่เรื่องการให้ความสำคัญกับการป้องกัน อันนี้ไม่รู้เหมือนกันแฮะ หรือคนเราจะชอบแก้ปัญหามากกว่าป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา??

ช่างมันเถอะ..แต่เรื่องการตัดสินใจหลังจากที่รู้ว่าท้องนี่สิสำคัญ ในเมื่อทุกคนบอกว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ไม่สนับสนุนแล้วทำไมธุรกิจฆ่าคนนี้ถึงได้เปิดอยู่ทุกมุมเมืองเช่นนี้ สังคมประนามกันเข้าไป แต่ก็เห็นว่ามันก็ยังเปิดอยู่ในที่ๆ คนกลุ่มเสี่ยงเข้าถึง

..มือถือสาก ปากถือศีลหรือเปล่านะ..

มีความเห็นอันนึงที่อ่านแล้วติดใจ เค้าบอกว่า "ทางพุทธศาสน์บอกว่า การเกิดนั้นลูกกับพ่อแม่ต้องมีบารมีเสมอกัน มีบุญ/กรรมผูกพันกันจึงจะมาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันได้ การที่คนที่มีพร้อมทุกอย่างแต่มีลูกยาก เป็นเพราะคนที่พร้อมทั้งฐานะทรัพย์สินหน้าที่การงาน การศึกษา ชีวิตคู่ดี เป็นเพราะบารมีที่เคยทำมาทั้งชาติก่อนและในชาตินี้ส่งให้เขาได้อยู่ดีมีสุข แต่เด็กที่จะมาเกิดนั้นหาที่มีบารมีเสมอพ่อแม่ยาก สังเกตได้ว่าคนยุคหลังๆ ทำบุญน้อยลงทำบาปมากขึ้น วิญญาณที่จะไปเกิดกับพ่อแม่ที่มีบารมีน้อยจึงมีมากประดุจแย่งกันมาเกิด ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมพ่อแม่ที่ไม่พร้อมจึงจุดปุ๊ปติดปั๊ป ขนาดป้องกันทุกครั้งเผลอถุงยางรั่วถุง ยางแตกหนเดียวยังอุตส่าห์จะป่อง แต่พ่อแม่ที่พร้อมจะมีลูกพยายามทั้งจุดทั้งเผาไม่มีเปลือกก็ยังไม่ติดซักที"

กับอีกคนบอกว่าเพื่อนเคยช่วยเพื่อนคนนึงทำแท้ง หาสถานที่ ช่วยออกเงิน จัดการให้ทุกอย่าง หลังจากนั้นชีวิตเค้าเจอแต่โชคร้ายมาตลอดคงเพราะฆ่าคนบริสุทธิ์ไป หมอดูบอกว่ามีเด็กเดินตามจะมาเอาชีวิต ก็ได้แต่พยายามทำบุญตักบาตร ขออโหสิกรรม ก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะดีขึ้นไหม

ที่จริงสังคมนี้คงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเยอะนะ แต่ไม่มีใครเอามาเปิดเผยให้คนภายนอกรู้เท่าไหร่นัก แต่พอเป็นโลก CYBER ซึ่งคนไม่ได้รู้จักกันในชีวิตจริง เรื่องต่างๆ ก็เลยพรั่งพรูออกมาเต็มที่เปิดโอกาสให้มีการพูดถึงกันอย่างเสรี

ถามตัวเอง ไม่เคยมีคนมาปรึกษาเรื่องนี้นะ..
ตอนมัธยมก็สนิทกับผู้ใหญ่เลยไม่ค่อยรู้เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของวัยรุ่นเท่าไหร่ แต่ด้วยความน่ารัก หน้าตาดี (แหะๆ ขอชมสักนิดเถอะ) ก็มีกิ๊กเด็กๆ กับเค้าเหมือนกัน เรียนด้วยกัน กินข้าวกลางวันด้วยกัน มีดอกไม้วาเลนไทน์ให้ตามสมัยนิยม ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยได้สัมผัสความรักลึกซึ้งกับใครเค้าหรอก ช่วงนั้นกลัวผู้ชาย 555 พอโตขึ้นหน่อยก็สนิทกับเพื่อนทั้งหญิงชาย ซึ่งทุกคนโสด (ไม่มีใครเอา) มันก็เลยไม่มีเรื่องอย่างนี้อีกเหมือนกันจนมาถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีเพื่อนสนิทสักคนที่ท้องในวัยเรียน (ก็ไม่น่ามีแล้วล่ะ อายุตั้งเท่าไหร่แล้วล่ะเนี่ย)

เพราะงั้นถ้าจะถามว่าจะทำยังไงถ้ามีคนมาปรึกษา ก็คงได้แต่บอกว่าไม่รู้ ไม่เห็นแหละ ไม่อยากช่วยใครทำบาป อีกอย่าง ถ้าเป็นวัยนี้จริงๆ ถ้าเกิดมันท้องกันขึ้นมาก็แต่งๆ ไปซะเถอะจะแตะเลข 3 กันอยู่แล้วนี่โตพอที่จะเป็นพ่อแม่คนได้แล้วจริงไหม ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองว่าข้ายังเด็กตลอดเวลาอ่ะนะ

พูดก็พูดเถอะ ก็มีนะ ที่เราไม่คิดว่าเค้าจะเคยทำ และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ชีวิตรักไม่ค่อยราบรื่น ครอบครัวแตกแยกเคยถามแบบผิวๆ ว่าทำไมตอนนั้นถึงตัดสินใจอย่างนั้น ทั้งที่คนที่ท้องด้วยในตอนนั้น กับคนที่เป็นพ่อของลูกคนถัดมา ก็คือคนๆ เดียวกัน

คำตอบที่ได้ก็คือ ไม่พร้อม ยังเรียนอยู่ ยังมีไม่ได้

อืม.. บอกตรงๆ ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าถามต่อไปได้แต่เก็บไว้ในใจคนเดียว
แล้วก็เอามาคิดคนเดียวว่า ถ้าเป็นตัวเราเอง (หวังว่า) เราคงไม่ตัดสินใจอย่างนั้นนะ

เฮ้อ.. จะเป็นยังไงนะ ถ้าเรามีพี่ชายอีกคน หรือว่า ถ้าเค้าได้เกิดมามันอาจจะไม่มีเราในวันนี้ก็เป็นได้นะ

อึดอัด (ด้วยคน) โว้ย..ย!!

ชิ ชิ ชิ

หมั่นไส้คนบางคนชะมัดรู้ทันไปซะทุกเรื่อง
แล้วยังมาแกล้งพูดอย่างนั้นอย่างนี้อีกอ่ะ
ชอบทำเหมือนเราเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย..

คิดอะไรก็พูดออกมาสิคะ ทำเป็นอมพะนำอยู่ได้
ไอ้ตัวชั้นก็เหมือนหมาเลย ยืนลิ้นห้อย น้ำลายหยด กระดิกหางอย่างมีความหวัง
รอคอย "เนื้อติดกระดูก" ลมๆ แล้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะมีวันได้กินหรือเปล่า
กลัวใจจริงจริ๊ง ว่าไอ้ที่ได้มามันคือกระดูกแห้งๆ ที่กินไม่ได้อ่ะ

ใช่สิ!
เรื่องของเราทุกอย่างก็เปิดเผยหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องค้นหาอีกต่อไป
ตอนนี้ตัวเปล่าๆ โล่งๆ รู้สึกเคว้งคว้างพิกล เหมือนกับตัวเองไม่มีค่า ไม่มีความน่าสนใจเท่าไหร่

...นี่ความเคารพตัวเองลดลงหรือเปล่าวะเรา??
(ขนาดตัวเองยังคิดอย่างนี้ แล้วคนอื่นเค้าจะคิดยังไงล่ะ)
น่าสมเพชไปหน่อยไหมเนี่ย

แต่มันน่าคิดก็ตรงที่ว่า เราสิที่แทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเค้าเลย ..คิดอะไร ..ทำอะไร
ทั้งที่เมื่อก่อน เราว่าเราก็พอจะเข้าใจเค้าอยู่นะ แต่มาวันนี้เหมือนมองอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
วันๆ ก็ได้แต่ลุ้นล่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

อึดอัดจัง.........

ยิ่ง'เด็จพี่พูดว่า "เค้าดีนะ"

เหรอพี่... งั้นมั๊งคะ...
แล้วดียังไงล่ะ หนูยังไม่รู้เลยว่าเค้าคิดยังไงอ่ะ
........


ไม่ชอบความรู้สึกอย่างนี้เลย

วันอังคาร, ตุลาคม 28, 2551

ทริปเขาค้อ (รูปตามมาทีหลังนะ)

เพิ่งกลับจากทริปภูเขาเมื่อวันก่อน ที่จริงแพลนจะไปแค่ 23-25 ตค และแค่เขาค้อเท่านั้น แต่ดันไปนั่งรถคนร้อนวิชากับคนชอบเที่ยวเลยต้องจับพลัดจับผลูไปภูทับเบิกซะอีก 1 คืนโปรแกรมวันหยุดเลยเปลี่ยนแปลงหมดเลย -_-" แต่ก็ไม่เป็นไร คนโสดทำอะไรก้อได้นี่นะ ๕๕๕ แต่ถึงงั้นก็เหอะมันก็อดไม่ได้ที่จะแจ้งให้บุคคลสำคัญทั้งหลายทราบโดยทั่วกัน ว่าท่านไม่สามารถติดต่อข้าพเจ้าได้เพราะไม่มีคลื่น บ่ใช่ ปิดเครื่องหนี หรือตกเขาตายแต่อย่างใดคือเค้าอยากรู้หรือเปล่าไม่รู้แหละ แต่เราอยากบอกอ่ะ

จากตอนแรกเขาค้อที่ไม่มีความหนาวเอาซะเลย มีอากาศเย็นนิดหน่อย ตอนวันที่ 2-3 ที่มีฝนตกแล้วลมแรงมากๆ เท่านั้น แต่รวมๆ แล้วก็เหงื่อซึมน่ะแหละ ไปท่องเที่ยวก็หลายที่อยู่ เดินทางช้าเพราะขบวนตั้ง 21 คัน ที่จริงมีแฝงเป็น car pull อีกไม่น่าจะต่ำกว่าครึ่งนึงล่ะมั๊ง ถ้ามาหมดก็คงไม่ต้องไปไหนกันพอดีพี่ลอเจ้าถิ่นก็พยายามอัดโปรแกรมเที่ยว ด้วยคำว่า "2 กิโล" ตลอดกาลไม่ว่ามันจะไกลสักแค่ไหน แต่ก็สนุกดีนะ เหนื่อยนั่งรถแต่ก็มีอะไรทำไม่งั้นคงนั่งเซ็งอยู่กรุงเทพคนเดียวเขาค้อวิวสวยทีเดียว ถ้าเป็นคน "รัก" ธรรมชาติก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้ เราเองน่ะแค่ "ชอบ" มันก็เลยไม่ได้อินสักเท่าไหร่ ถือซะว่าเปลี่ยนบรรยากาศแล้วก็มีเพื่อนคุยมันก็โอเคอยู่นะ

วันแรก กินข้าวกลางวันที่วิเชียรบุรี ไก่ย่างร้านอะไรสักอย่างนี่แหละ เปลี่ยนจากร้านเดิมเพราะคนเยอะจัด หาที่ลงกันไม่ได้ และเค้าไม่รับจองวันหยุดด้วยรสชาติก็งั้นๆ ออกเดินทางต่อสู่มิตซูฯ เพชรบูรณ์ ช่วยโฆษณาให้ด้วยการขับรถวนรอบเมืองก่อน 1 รอบ (เพื่อไรวะเนี่ย) แล้วก็ต้องไปนั่งหง่าวรอรถเสียอยู่คันนึง กว่าจะออกเดินทางอีกทีก็เย็นย่ำ แวะกินกาแฟที่ Coffee Hill ซะก่อน 1 รอบ บรรยากาศเริ่มเย็นๆ แต่แป๊ปเดียวก็มืดแล้ว ก็ย้ายขบวนกันต่อไปยังโรงแรม

เก็บกระเป๋าที่โรงแรมแล้วก็ออกไปกินข้าวกันสถานที่ก็ดีนะ เหมือนจัดปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำเล็กๆ นั่งฟังเพลงชิลชิล คิดถึงใครบางคน พอโทรไปหาเค้าก็ร้องไห้ซะ 1 รอบ ก่อนจะทนความงี่เง่าของตัวเองไม่ไหวต้องห้ามใจตัวเองซะอีกกลับไปก็นั่งเขียนไดอารี่อยู่คนเดียวจนง่วงถึงจะนอน

วันที่สอง ตื่นตั้งแต่ตีห้ากว่า เพราะรูทเมทมันดันไม่อาบน้ำอีกรอบตอนเย็นเลยรวบมาอาบเช้า แล้วก็ต้องตื่นมาอาบต่อจากมัน เดินออกไปดูลมยามเช้า กว่าจะออกไป coffee hill อีกครั้งเพื่อไปถ่ายรูปทะเลหมอกที่เห็นเป็นหย่อมๆ เท่านั้นแล้วก็กลับที่พักล้างหน้าล้างตา ไปกิน ABF ก่อนจะรวมตัวไปทำกิจกรรมภาคเช้าอีกที ไปไหว้พระธาตุ (ชื่อไรไม่รู้) ตีระฆังแถวยาวๆ แล้วก็ไปน้ำตกศรีดิษฐ์ จากนั้นข้าวกลางวันที่ไร่จันทร์แรม บรรยากาศดีมากอาหารก็อร่อย ^^

สาหัสที่สุดก็ทับเบิกนี่แหละ มาตัดสินใจกันที่ปั๊ม LPG ตอนเกือบ 5 โมงเย็น กว่าจะขับขึ้นเขาอากินะไปถึงด้านบนตรงโค้งกะหล่ำก็เย็นย่ำแล้ว แต่ก็มีความสุขกับอากาศเริ่มเย็นสมใจพบพลบค่ำเท่านั้นแหละ หมอกหนามาก..ก มืดก็มืด คน 9 คนกะไก่ทอด+ข้าวเหนียว นั่งให้ลมโกรกจนแฉะไปทั้งหัว มันก็สะใจไปอีกแบบนึงนะ สงสารก็แต่พี่ป้อม หนุ่มใหญ่เป็นเก๊าส์แต่ต้องกินไก่เพราะไม่มีทางเลือกยิ่งดึก ลมยิ่งแรง พอฝนตกอีกยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ตัวชื้นๆ เขาไปหลบฝนในร้านขายของ รู้สึกเหมือนอยู่ในหนังเรื่อง The Mist เลยอ่ะเต้นท์ที่จองเอาไว้ก็ไม่ได้ใช้ เพราะฝนตกจนดินแฉะขืนยังดิ้นรนจะไปนอน นอกจากจะต้องเดินขึ้นเขาเละๆ มืดๆ แล้ว อาจต้องนอนพื้นเปียกๆ ให้ปอดบวมอีกด้วย

ในที่สุดก็คิดกันได้ว่านอนในรถนี่แหละเข้าท่าสุดแล้ว มี 9 คนกะรถ 3 คันแบ่งๆ กันไป3คู่ กับ 3ตัวเกิน (เราก็หนึ่งในสามนั่นแหละ) หยกกับออยมีเรือกลไฟอย่างพี่ป้อม พี่วัสกับอ้อมก็มีพี่ต้นรัก ส่วนเราไปเป็นพยานรักของพี่หนึ่งกับพรรณ เห็นเค้านั่งลูบหัวกันในรถ เฮ้อออ เมื่อไหร่จะมีอย่างนี้กะเค้ามั่งนะเราไม่น่าเชื่อ แต่รถที่แง้มหน้าต่างนิดๆ สามารถทำให้คน 3 คน โคตรหนาวได้เลย ก็ทั้งลม ทั้งฝนสาดซัดเข้าไปทั้งคืนหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน ทั้งไม่สบายตัว ทั้งหนาว ไม่ได้ทรมาณอย่างนี้มานานมากแล้วนะเนี่ย แต่ก็ดีใจที่มีชีวิตรอดอยู่ได้ 555

วันที่สามตื่นเพราะทนปวดฉี่ไม่ไหว อั้นมาตั้งแต่ตีสองจนสว่างนั่นแหละถึงจะกล้าเดินออกมาจากรถทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ออกมานั่งตากน้ำค้างกันอีกพักใหญ่ ก่อนจะได้โอวัลตินร้อน กับโจ๊กคัพ ช่วยชีวิตไว้นั่งดูฟ้าอยู่ 2-3 ชั่วโมงไม่มีทีท่าจะดีขึ้นเลย ก็เลยเตรียมพร้อมออกเดินทางไปสู่ยอดเขา ซึ่งไปถึงก็เจอแต่หมอกๆๆ ลมๆๆ และผัก!!

ฟักแม้ว กะหล่ำ แครอต มีอยู่ 3 อย่างนี่แหละที่ขายมันทุกร้าน

ไปยืนตากลมถ่ายรูปกันพักนึง จนท.เค้าก็บอกว่าไปต่อไม่ได้ เพราะรถเก๋งไม่สามารถผ่านทางที่เป็นหลุมลึกระดับศอกไปได้ถ้าจะไปภูหินร่องกล้าต้องลงเขาไปเพื่อไปขึ้นจากอีกทางหนึ่ง ในที่สุดก็ลงมาตกลงกันข้างล่างว่ากลับดีกว่า (เห็นด้วย!!!)

ขากลับแวะกินไก่ย่างที่วิเชียรฯอีกที แล้วก็ขับรถกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางท็อปปิกในการคุยเป็นเรื่องของพี่เจตกะพี่ฝ้ายซะเป็นส่วนใหญ่ไม่อยากเชื่อว่าพี่เจตจะมีคนอื่น ส่วนพี่ฝ้ายก็ไม่อยากเชื่อว่าจะเลิกโหดแล้วปล่อยให้เลือกเลย พอมีลูกแล้วความคิดก็เปลี่ยนนะผู้หญิงรักลูกมาก จะฆ่าผู้ชายตายก็กลัวว่าลูกจะไม่มีใครเลี้ยง ส่วนพ่อมันติดหญิงจนลืมลูกแล้วมั๊งเนี่ย เฮ้อ..อ

พี่ป้อมบอกว่า ผู้ชายแคร์เรื่อง sex มาก เมื่อภรรยาไม่ยอมมีอะไรด้วย แต่มีผู้หญิงอื่นมาติด มันก็เลยไปผูกพันทางโน้น

เรื่องมันเศร้าเนอะ สุขเพราะรัก แล้วก็ทุกข์เพราะรัก..

วันพุธ, ตุลาคม 22, 2551

นับถอยหลัง..สู่เขาค้อ..

ลัลลา...

พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวแล้ว เราไม่ได้ออกไปตจว. มาตั้งหลายเดือน แล้วยิ่งคราวนี้เหมือนๆ จะเดินทางคนเดียวเสียด้วย จากตอนแรกรู้สึกเฉยๆ จนตอนนี้อดตื่นเต้นไม่ได้แฮะ ทริปนี้ที่จริงก็ไปกันเยอะนะ เท่าที่รู้ออกจากกทม.พร้อมกันก็น่าจะ 50 กว่าคนขึ้นไปแล้ว แต่เอาที่รู้จักจริงๆ ก็คงแค่ 10-20คน แต่ก็ช่างเหอะ ใจจริงก็คืออยากไปสัมผัสธรรมชาติบ้างน่ะ คงจะดีที่ได้สูดอากาศดีๆ บรรยากาศสงบๆ บนยอดเขาตอนเช้า

ในชีวิตไปเที่ยวแนวธรรมชาติมาก็เยอะนะ แต่ไม่รู้ทำไมที่พอจะจดจำรายละเอียดได้บ้างกลับมีแค่ไม่กี่ที่เท่านั้นเอง

..น้ำตกขุนกรณ์ที่เชียงราย.. เดินไปตั้งไกลกว่าจะถึงน้ำตก พื้นก็ทั้งแฉะทั้งลื่น หนาวก็หนาว แต่ก็สวยดี เค้าว่ากันว่าเหมือนไนแองการา ฟอลล์นะ

..ภูกระดึง จ.เลย.. ไปกับเพื่อนสมัยเรียน เดินกันแทบตายไปข้างหนึ่ง ปวดขาก็ปวด หนาวก็หนาว ทรมาณ แต่ก็สนุกที่มีเพื่อน แต่ให้ไปอีกคงไม่เอาแล้วอ่ะ

..ภูตะวัน โคราช.. ไปดูฝนดาวตกสมัยปีสี่ ขับรถไปเองตอนเลิกเรียน รถก็แสนจะติด ไปนอนตากน้ำค้างทั้งคืนเห็นอยู่ไม่กี่ดวง แถมต้องรีบตีรถกลับมาเรียนตอนเช้าอีก

..ศุภาลัย ป่าสัก.. ก็ร่มรื่นดี แม้สถานที่ดูจะเก่าไปสักหน่อย แต่ก็มีความสุขกับทริปนั้น ^^ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเมาหัวทิ่มหัวตำอยู่คนเดียว ไปท้าเค้ากินเหล้าแท้ๆ แพ้กระจาย -*-

แต่ที่จำได้ไม่มีวันลืม ก็คงเป็น "xxx" เป็นทริปเดียวที่นึกถึงทีไรก็ต้องอมยิ้มตามไปด้วยทุกที ไม่บอกหรอก ขอเอาไว้คิดถึงคนเดียวละกัน^^

หวังว่าคราวนี้คงได้ไปท่องเที่ยวอย่างมีความสุขนะ อาจจะเหงาไปสักหน่อย แต่ก็จะพยายามไม่คิดมากดีกว่า เดี๋ยวเศร้ามากแล้วมันจะไม่สนุกเอาได้ ไว้กลับมาแล้วจะเอารูปมาแปะประจาน เอ้ย โชว์ให้ดูจ้ะ

วันจันทร์, ตุลาคม 20, 2551

รัก หรือ ไม่รัก??

"I'll try my best not to love you"
ประโยคสั้นๆ ที่พิมพ์ออกไปเมื่อคืน บอกไม่ถูกรู้แต่ว่ามันอึดอัดใจ ในเมื่อรักเค้าแล้วเค้าไม่ตอบรับหรือปฏิเสธสักอย่าง แล้วจะให้คิดอย่างไร คิดจะทำอะไรมันก็ไม่มีเรี่ยวแรงไปซะหมด เพราะมันใช้ความอดทนไปกับการรอคอยซะหมด

อยากจะห้ามใจตัวเองไม่ให้รักเค้าแล้ว ขอเสียใจให้เต็มที่แล้วจะไม่คาดหวังกับรักอีกต่อไป ต้องพยายามคิดซะว่าไม่มีรัก มันก็คงไม่ตาย ทำใจซะเถอะว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่ออยู่คนเดียว ก็เพราะรู้ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ ถึงได้ไม่อยากจะให้โอกาสใครเข้ามาในใจ แล้วไงล่ะ พอตัดสินใจพลาดครั้งหนึ่ง มันก็จะพลาดไปหลายๆ อย่างพร้อมกัน กะทับถมให้หมดความรู้สึกไปเลยรึไง

ถ้าการรักใครสักคน แล้วมันทำให้เกิดความคาดหวังจากความรักและคนรัก มันก็คงผิดตั้งแต่คิดจะรักแล้วล่ะ การไม่รักเสียเลยคงเป็นอีกทางที่ดีกว่า บอกตัวเองให้เข้าใจเสียทีว่าไม่มีความรักอีกต่อไป เจ็บหนักๆ จะได้ทำใจได้เสียที ต่อไปจะได้ไม่ยอมให้ใครมามีอิทธิพลต่อชีวิตเราอีก ชั้นจะไม่รักใครอีกแล้ว จะกลับไปเหมือนเมื่อก่อน ปิดประตูหัวใจจากทุกๆ คน หัวใจช้ำๆ จะได้ไม่ต้องมาเจ็บเพราะความรักอีกต่อไป

ฟังๆ ดูอาจจะมองว่าทำตัวไร้สาระหรือคิดอะไรที่ไร้ประโยชน์ อายุขนาดนี้ไม่น่าจะมาคิดเรื่องนี้มากๆ ให้เสียเวลาทำการทำงาน จริงอยู่ที่เรื่องพรรค์นี้มันไม่ได้ทำให้คนเรารวยขึ้น หรือมีอนาคตที่สดใสขึ้นมา และไม่มีประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น แต่คนเราก็ต้องการความรักไม่ใช่หรือ หรือว่าคุณไม่เคยจะคิดสักครั้งในชีวิตว่าจะมีใครสักคนที่เป็นของเราจริงๆ ???

รู้ตัวค่ะ ว่าไม่ใช่เด็กแล้ว แค่เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่เคยตัดสินใจผิดๆ ลงไป แล้ววันนี้กลับมาคิดได้ก็แค่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับผู้ชายสักคนที่รักจริง และพร้อมจะอยู่เคียงข้างเท่านั้นเอง แต่ในเมื่อมันไม่ใช่จังหวะก็คงต้องทำใจยอมรับความจริงที่เป็นอยู่

ที่จริงก็เข้าใจนะว่าอยากให้เข้มแข็ง ยืนได้ด้วยตัวเอง แต่บอกกันดีๆ ก็ได้ นิ่งๆ เงียบๆ อย่างนี้มันทำตัวไม่ถูกเลย คงไม่เข้าใจสิคะว่าคนที่อยู่ในสถานภาพคลุมเครืออย่างนี้รู้สึกยังไง "เหมือนๆ จะรัก แต่ก็ไม่รัก"

ตกลงที่มาดีด้วย มาดูแล นี่เพราะห่วงใยในฐานะน้องเท่านั้นใช่ไหม ถ้าคิดแค่นั้นจะได้คิดเหมือนกันว่าเป็นพี่ชายจริงๆ จะตัดความรู้สึกรักๆ ใคร่ๆ ออกไป แล้วจะเป็นพี่น้องจริงๆ เหมือนเมื่อก่อนจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องมีการงอน การโกรธกันอีก




ไม่แฟร์เลย คุณรู้ทุกอย่างว่าชั้นคิด รู้ทุกอย่างว่าชั้นต้องการอะไร แต่คุณก็ไม่พูด ไม่แสดงออกอะไรทั้งนั้น นิ่งสยบเคลื่อนไหว มันคาดเดาไม่ได้ว่าคุณคิดอย่างไรช่วยทำให้มันเคลียร์หน่อยได้ไหมคะ จะให้รอ.. หรือจะให้ตัดใจ..

กำลังใจในชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน
คนบางคน.. สามารถสร้างกำลังใจได้ด้วยตัวเอง
แต่คนบางคน.. ต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากคนใกล้ชิด

ถ้าไม่มีใจจะรัก ก็อย่ามาดีด้วยเลยค่ะ มันทรมาณจริงๆ

วันศุกร์, ตุลาคม 17, 2551

~~โลกจิต~~

ผลพวงจากมรสุมชีวิต ที่ทำให้ต้องฝากกระเพาะไว้กับชาวบ้านตลอดสัปดาห์ หรือถ้าจะให้เห็นภาพก็คือ ลูกนก (น่ารักเกินไปไหมเนี่ย) ที่รอให้แม่เอาเหยื่อมาป้อนน่ะแหละ ออฟฟิศก็โคตรเงียบ มืดๆ ทึมๆ แทนที่จะนั่งตั้งตารอข้าวซึ่งยิ่งไป concentrate มันก็ยิ่งรู้สึกว่ามันนาน มานั่งคิดข้อดี-ข้อเสีย ของการนั่งอ้วนอยู่ข้าวบนอย่างนี้ดีกว่า
ข้อดีคือ ไม่ต้องตากแดดร้อนให้ตัวดำ ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ไม่ต้องเหงื่อซ่ก และไม่... อะไรที่มันไม่ดีน่ะแหละ
ส่วนข้อเสีย มีข้อเดียวที่พบในตอนนี้คือ แมร่ง...งหิวฉิบ -_-"

นั่งไปแล้วก็เครียด ระหว่างเดินเอาเอกสารไปโยนใส่โต๊ะชาวบ้านพลันเหลือบไปเห็น "โลกจิต" หนังสืออะไรวะชื่อแปลกๆ อดใจไม่ไหวที่จะหยิบมาดู แล้วยิ่งเห็นชื่อคนเขียนด้วยแล้วทำให้ต้องเปิดอ่านอยู่ตรงนั้น เจ้าของความคิดแปลกๆ นั้นมันใช่ใคร นอกจาก "ไอ้แมว" นักวิทยาศาสตร์สุดประหลาดในสายตาเพื่อนๆ อย่างพวกเรา นึกออกไหมว่าเค้าเป็นใคร~~ ร

นายคนนี้ เมื่อก่อน คนอื่นรู้จักเค้าในนาม "ลูกจิรนันท์ พิตรปรีชา กับ เสกสรร ประเสริฐกุล" คนดังแห่งประชาธิปไตย ซึ่ง "ไอ้แมว" หรือ "คุณแทนไท" หรือ "ช้าง" (ชื่อเล่นจริงๆ) มันก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่หรอก เพราะมีแต่คนจ้องมองตลอดเวลา โตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มดังด้วยความเก่งตัวเอง ในฐานะเด็กชีวโอลิมปิก ผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง ครอบครัว โรงเรียน และประเทศชาติ จากนั้นก็ไม่ได้เจอมันอีกเป็นเวลานานมากๆ แต่ก็พอได้ยินเรื่องราวของเพื่อนๆ ผู้พบเห็นมันเป็นระยะๆ จากการนัดกินข้าวกัน ซึ่งไอ้แมวก็ไปทุกทีที่ว่าง แต่ไม่รู้เป็นไร ดวงเราแคล้วคลาดกะมันจริงๆ เพราะมันไปเราไม่ได้ไป พอเราไปมันก็ไม่ไป 555

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หลายต่อหลายเรื่องเล่าที่ได้ยินมาช่างแสดงความเป็นตัวตนของไอ้แมวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นเกมส์อัฉริยะข้ามคืน ตอนที่มันโคตรหิว แต่ไม่กล้ากินข้าวกล่องที่ทางรายการให้มาเพราะคิดว่าต้องเอาไว้ใช้เล่นเกมส์ หรือแม้แต่งานวิจัยของมันทำหัวข้อเกี่ยวกับการวิจัยพฤติกรรมทางเพศของปลาหมึก!! คิดได้ไงวะเนี่ย แอบไปส่องปลาหมึกตอนกลางคืน เพื่อมีส่วนร่วมในความสุขของมัน -_-"

เท่าที่รู้มานอกจากนี้แล้วยังมีงานอื่นๆ อีกมากมายที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วเช่น เป็นอาจารย์สอนชีววิทยาให้กับเด็กโรงเรียนคอนแวนต์หญิงล้วน เขียนหนังสือขาย เป็นพิธีกรรายการเกมส์โชว์ร่วมกับน้องชายสุดหล่อ (ไม่รู้เป็นพี่น้องกันได้ไง น้องสิงห์นี่ก็หล่อซ้าส์)

เพิ่งมีโอกาสได้อ่านหนังสือที่ไอ้แมวเขียน เปิดปุ๊ปก็ขำปั๊ป เพราะตัวหนังลือเหล่านั้นมันช่างสะท้อนความเป็นตัวตนของมันจริงๆ คำพูดกวนๆ ตลกๆ หรือวิทยาศาสตร์แบบสุดตีนของมัน ซึ่งแม้จะทะลึ่งปนหยาบแต่อ่านแล้วก็เพลินดี เหมือนกับได้นั่งคุยอยู่ต่อหน้ากัน มิน่าล่ะ หนังลือถึงได้ติดอันดับขายดีได้อย่างทุกวันนี้ และในความไร้สาระก็ยังมีสาระความรู้อีกมากมาย หากอ่านแล้วคิดตามก็คงได้ความรู้ติดหัวไปไม่มากก็น้อย ดูจาก abstract ข้างหลังหนังสือที่อ้างอิงถึงข้อมูลที่มีประโยชน์อีกมากมาย ทำให้รู้ว่ามันยากนะ ที่จะเขียนสาระหนักๆ ให้ไม่น่าเบื่อ
...เรานับถือนายจริงๆ ว่ะแมว..

(ตัวอย่างคำพูดจากเว็บโลกจิต)
ของทุกสิ่งในโลกนี้ย่อมมีที่มา ความขี้หึงก็น่าจะเหมือนกัน มันน่าจะต้องมีที่มาจากที่ใดสักแห่งศาสตร์ที่พยายามศึกษาประวัติความเป็นมาของสัญชาติญาณต่างๆ ซึ่งหยั่งรากอยู่ในจิตใจมนุษย์ มีชื่อว่า Evolutionary Psychology หรือ จิตวิทยาวิวัฒนาการ ทฤษฏีซึ่งเป็นแก่นของวิชานี้เข้าใจได้ไม่ยาก กล่าวคือ สัญชาติญาณใดๆ ก็ตาม ถ้ามันจะถูกส่งผ่านรุ่นต่อรุ่นมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็แสดงว่ามันน่าจะต้องเคยมีประโยชน์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งต่อการอยู่รอดและสืบพันธุ์ของบรรพบุรุษของเรามาก่อน มิเช่นนั้น มันก็คงจะหายสาบสูญไปนานแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น สัญชาติญาณกลัวความมืด หรือกลัวความเจ็บ สมัยก่อน มนุษย์วานรตนใดก็ตามที่เกิดมาแล้ว มีสัญชาตญาณชอบออกไปเดินเล่นนอกถ้ำในคืนเดือนมืด ชอบเอาหัวโขกหินผา หรือชอบเอาไม้ไปแหย่ไข่แมมม็อธ พวกนั้นคงตายตั้งแต่อายุไม่ถึง 12 คงไม่ได้มีโอกาสเติบใหญ่ทิ้งลูกทิ้งหลานเอาไว้มากนัก และไอ้สัญชาตญาณไม่รู้จักกลัวก็คงจะตายไปพร้อมๆ กับตัวของพวกมันด้วย ผิดกับพวกที่กลัวมืด กลัวเจ็บ ซึ่งมีโอกาสได้อยู่รอดสืบทอดสัญชาตญาณความกลัวนั้นผ่านไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปๆๆๆ อีกที ทั้งหมดนี้สามารถจินตนาการได้ไม่ยาก

เรื่องบางอย่างอาจชัดเจนน้อยกว่านี้หน่อย เช่น
ทำไมโดยธรรมชาติ ผู้ชายถึงชอบผู้หญิงเอ๊าะๆ เอวคอดๆ สะโพกใหญ่ๆ?

อันนี้จิตวิทยาวิวัฒนาการก็อาจจะบอกว่า เป็นเพราะลักษณะเหล่านี้บ่งบอกถึงความเป็นแม่พันธุ์ที่ดี มีลูกออกมาแล้วมีโอกาสที่จะสมบูรณ์แข็งแรงมากกว่า (อันนี้มีข้อมูลสนับสนุนว่าเป็นจริง เอาง่ายๆ คนทั่วไปก็รู้กันอยู่ว่า ผู้หญิงยิ่งมีลูกตอนแก่เท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสแท็งค์ง่ายขึ้นเท่านั้น) ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงกลับไม่ค่อยแคร์เรื่องอายุรูปร่างหน้าตาของผู้ชายมากเท่ากับเรื่องนิสัย ความรวย หรือสถานะทางสังคม นั่นก็อาจจะเป็นเพราะ รูปร่างกับอายุของผู้ชาย อาจจะไม่ได้สัมพันธ์กับความเป็นพ่อพันธุ์ที่ดีสักเท่าไหร่ ผู้ชายอย่างเราต่อให้แก่อายุ 60 หรืออ้วน 100 โล ก็น่าจะสามารถผลิตเสปิร์มได้วันนึงเป็นร้อยๆ ล้าน เหมือนๆ กัน ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงจึงวิวัฒนาการขึ้นมามีความสนใจในสิ่งอื่นๆ ที่น่าจะสำคัญกว่า อย่างเช่นลักษณะที่บ่งบอกถึงความเป็นสามีและพ่อที่ดีในอนาคต อะไรทำนองนั้น

สิ่งที่ควรจะพึงระวังเวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของทฤษฏีจิตวิทยาวิวัฒนาการ อย่างที่หนึ่ง เหตุผลที่เป็นต้นกำเนิดก่อให้เกิดวิวัฒนาการของสัญชาตญาณอันใดอันหนึ่งขึ้นมา อาจจะเป็นจริงในยุคสมัยหลายล้านปีก่อนซึ่งเป็นช่วงที่คนเรามีเวลานานที่สุดในการสะสมความเปลี่ยนแปลง แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นจริงในโลกทุกวันนี้ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนนู้น ผู้หญิงอายุเกิน 30 ไปแล้วอาจจะมีโอกาสแท้งลูกสูงมาก ผู้ชายที่ชอบเอ๊าะๆ ก็เลยได้เปรียบทางการสืบพันธุ์เหนือชายที่ชอบแบบอื่น ทุกวันนี้การแพทย์เจริญรุดหน้า ผู้หญิงวัย 30 กว่าๆ สามารถคลอดลูกได้อย่างปลอดภัยไม่เหมือนก่อน แต่ปรากฏว่าผู้ชายก็ยังมีสัญชาตญาณชอบเด็กๆ อยู่เหมือนเดิม เพราะซอฟแวร์มันอัพเดทตามโลกสมัยใหม่ไม่ทันนั่นเอง (เหตุผลเดียวกับตอน ‘ไอ้อ้วน‘) นี่ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีคุมกำเนิด ทำให้เรื่องเซ็กส์ไม่จำเป็นต้องผูกติดอยู่กับเรื่องสืบพันธุ์เสมอไป แต่ทว่าสัญชาตญาณต่างๆ เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ก็ยังคงดำรงอยู่เหมือนเดิม

คนอาจจะกระทำตามสัญชาตญาณอันใดอันหนึ่ง แต่ในหัวของเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องคิดตามเหตุผลซึ่งเป็นที่มาที่แท้จริงทางวิวัฒนาการของสัญชาตญาณนั้นๆ ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายเวลาเห็นสาวๆ หุ่นดี ในหัวอาจจะคิดว่า “อู๋ว เซ็กซี่จัง” แต่คงไม่มีใครคิดถึงขั้นว่า “อู๋ว อายุเท่านี้ รูปร่างแบบนี้แหละ อัตราการแท้งลูกต่ำสุด น่าสืบพันธุ์ด้วยจริงๆ” ผู้หญิงก็เหมือนกัน คงไม่มีใครมานั่งคิดว่า “อู๋ว อาเสี่ยถึงจะอ้วนและแก่ก็ไม่เป็นไรหรอก อัณฑะคงยังผลิตเสปิร์มได้เยอะอยู่ ที่สำคัญคือเขามีทรัพยากรเพียงพอที่จะเลี้ยงลูกเราได้ต่างหาก อย่างนี้สิ น่าจับมาทำผัวจริงๆ”

วกมาถึงเรื่องความขี้หึง.. ในมนุษย์เรา ความสัมพันธ์อันดีที่มั่นคงยาวนานระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง นับว่าจำเป็นยิ่ง ต่อความสำเร็จในการเลี้ยงดูลูกให้สามารถอยู่รอดเติบใหญ่ เช่นนี้แล้ว สัญชาตญาณอย่างความขี้หึง ซึ่งคอยช่วยสอดส่องตรวจตรา ปกป้องความสัมพันธ์ปัจจุบันไม่ให้หลุดไปอยู่ในกำมือของบุคคลที่สาม ก็น่าจะเป็นอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบทอดพันธุกรรมของบรรพบุรุษของเราอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายที่โดยสัญชาตญาณไม่ขี้หึงเลย ใจกว้างปล่อยให้เมียของตัวเองไปมีอะไรกับใครเมื่อไหร่ก็ได้ ในสมัยยุคดึกดำบรรพ์ก็อาจจะมีอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาคงไม่ใช่บรรพบุรุษของพวกเรา เพราะลูกที่เกิดมาคงจะเป็นลูกของชู้ซะมากกว่า

จะว่าไป มีจุดที่น่าสนใจมากอยู่จุดหนึ่ง ชายและหญิงมีข้อแตกต่างสำคัญยิ่ง คือผู้หญิงเท่านั้นที่เป็นฝ่ายตั้งท้อง ทฤษฏีจิตวิทยาวิวัฒนาการเล็งเห็นและทำนายทายทักว่า ความแตกต่างทางชีววิทยาตรงนี้เอง น่าจะนำไปสู่ความแตกต่างทางจิตวิทยาของความขี้หึงด้วยเช่นกัน พูดอีกอย่างหนึ่ง ความขี้หึงในเพศชายกับเพศหญิง น่าจะวิวัฒนาการออกมามีรูปแบบที่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว

เพราะอะไรน่ะรึ? หากเราลองคิดดู เพศชายเป็นเพศเดียวที่ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าลูกที่เกิดมาเป็นลูกแท้ๆ ของตัวเองจริงหรือไม่ หากเมียไปมีชู้มาแล้วผู้ชายไม่รู้ สิ่งที่เขาจะเสี่ยงต่อการสูญเสียมากที่สุด ก็คือเวลาและพลังงานซึ่งอาจจะต้องอุทิศให้ไปกับการเลี้ยงดูลูกของชายอื่น แทนที่จะได้เอาทรัพยากรเหล่านั้นมามอบให้กับผู้สืบเชื้อสายทางพันธุกรรมที่แท้จริงของตนเอง หากสมชายเลี้ยงลูกจนโตแล้วค่อยมาสังเกตเห็นว่า เอ๊ะ ทำไมเด็กมันหน้าไปเหมือนคนส่งพิซซ่า นั่นย่อมเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่สุดในเกมการสืบพันธุ์ และด้วยเหตุนี้เอง ผู้ชายจึงน่าที่จะวิวัฒนาการขึ้นมามีความเซนซิทีฟต่อเรื่องสิทธิขาดทางเพศในตัวคู่รักของตนเองเป็นพิเศษ

ในทางกลับกัน ผู้หญิง ถึงยังไงก็แน่ใจได้อยู่แล้วว่าลูกที่เกิดมาจะเป็นลูกของตนเอง ก็มันออกมาจาก… อืมม… ท้อง กูชัดๆ จะไม่ให้แน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นลูกในไส้ หรือจะบอกว่าอีเจ๊ข้างบ้านแอบมามีอะไรกับสามีเสร็จแล้วค่อยย่องเอาไข่มันมาฝังไว้ในมดลูกเราตอนเราหลับ อันนั้นก็คงจะเป็นไปได้ยากอยู่ เช่นนี้แล้ว หากสามีของผู้หญิงคนหนึ่งจะไปมีชู้กับหญิงอื่น สิ่งที่เจ้าหล่อนควรจะต้องกลัวมากที่สุด คงจะไม่ใช่เรื่องแน่ใจไม่แน่ใจว่าจะต้องมานั่งเลี้ยงลูกคนอื่นหรือเปล่า แต่น่าจะเป็นเรื่องของการสูญเสียความรัก ความเอาใจใส่ ที่พึงจะได้รับจากสามีมากกว่า ผู้ชายจะมีเวลาและทรัพยากรเหลือมาช่วยดูแลลูกดูแลครอบครัวมากน้อยแค่ไหนกัน หากเขามัวแต่แบ่งสิ่งเหล่านั้นไปให้กับผู้หญิงอื่น เซ็กส์เฉยๆ อาจจะไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องหัวใจนี่เสียหายหนัก และด้วยเหตุนี้เอง เพศหญิงจึงน่าที่จะวิวัฒนาการขึ้นมามีความเซนซิทีฟต่อเรื่องสิทธิขาดทางความรักในคู่ของตนเองเป็นพิเศษ

พูดง่ายๆ ก็คือ หากว่ากันตามหลักวิวัฒนาการแล้ว ชายควรจะหึงเรื่องนอกกายมากกว่านอกใจ ส่วนหญิงควรจะหึงเรื่องนอกใจมากกว่านอกกาย..
หญิง แฟนนอกกาย พอให้อภัย แต่นอกใจไม่สามารถให้อภัยได้ (ยิ่งนอกทั้งสองอย่างนี่ยิ่งบ้านแตกแน่)
ส่วนชาย แฟนนอกใจ ไม่เท่าไหร่ แต่นอกกายนี่สิ มึง(และมัน) ต้องตาย!

แล้วมันจริงตามนี้รึเปล่า? ปี 1992 นักวิทยาศาสตร์ชื่อคุณเดวิด บัส (David Buss) ได้ไปทดลองศึกษาดู เขาเอาแบบสอบถามไปแจกนักศึกษาชายหญิงประมาณ 200 คน โดยมีโจทย์คือให้จินตนาการระหว่าง
(1) แฟนตัวเองกำลังมีเซ็กส์อย่างเร่าร้อนกับคนอื่น (นอกกาย)
(2) แฟนตัวเองกำลังตกหลุมรัก Crazy in love กับคนอื่น (นอกใจ)

เสร็จแล้วให้เลือกว่าอย่างไหนทำให้เกิดอารมณ์โกรธเกรี้ยวและของขึ้นมากกว่ากัน

ผลการทดลองปรากฏว่า..
ผู้ชายส่วนใหญ่(ประมาณ 60%) เลือกข้อแรก(นอกกายร้ายแรงกว่านอกใจ)
ในขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่(ประมาณ 80%) เลือกข้อ2 (นอกใจร้ายแรงกว่านอกกาย)
ตั้งแต่ผลงานวิจัยอันนี้ออกมา หัวข้อนี้ก็ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง และช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็มีคนพยายามทำการศึกษาในทำนองเดียวกันออกมาอีกมากมายเต็มไปหมด รวมทั้งในประเทศตะวันออกอย่างเกาหลีและญี่ปุ่นด้วย ซึ่งก็ล้วนแต่ปรากฏผลออกมาคล้ายคลึงกัน แสดงว่ามันอาจจะสะท้อนได้ถึงสัญชาตญาณดิบที่แตกต่างกันระหว่างเพศจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ในแวดวงก็ยังมีความพยายามถกเถียงกันอยู่ว่า “เอ แค่ทำแบบสอบถามนี่จะเชื่อถือได้จริงเหรอ” หรือไม่ก็ “เอ ผลลัพธ์แค่ 60% นี่มันก็ไม่ได้แสดงถึง ‘คนส่วนใหญ่‘ ขนาดนั้นนะ” หรือไม่ก็ “เอ วัดผลแบบนี้ มันทำให้ดูเหมือนกับว่า นอกกาย ผู้หญิงไม่โกรธ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วอาจจะโคตรโกรธ แต่ที่เลือกช้อยส์ข้อนอกใจมากกว่า


อาจเป็นเพราะ ผู้หญิงเชื่อว่า ผู้ชายไม่มีทางนอกใจอย่างเดียวเฉยๆ แน่ ไอ้เฒ่าหัวงูนี่นอกใจกูแล้ว ต่อไปมึงก็คงไม่แคล้วต้องนอกกายเปลี่ยนจากกิ๊กมาเป็นชู้ด้วยชัวร์ พอจินตนาการไป แม่หล่อนก็เลยยิ่งโกรธจมูกบานขึ้นเป็นยกกำลังสอง กลายเป็นว่าช้อยส์ข้อนี้มันเหมือนรวมนอกใจและนอกกายเอาไว้ด้วยกัน สร้างปัญหาให้กับการแปลผลเป็นอย่างยิ่ง” สรุปแล้ว ความคิดเรื่องนอกกายกับนอกใจอาจจะแยกจากกันไม่ขาดเสียทีเดียว ผลการทดลองที่ได้ อาจแสดงถึงสัญชาตญาณล้วนๆ ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องความเชื่อส่วนตัวหรือค่านิยมนิยามที่แต่ละเพศมีต่อกันก็อาจจะมีผลด้วยเช่นกัน

ที่มา http://www.wit-view.com/lokjit/content/?page_id=116

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 16, 2551

ครบรอบ 1 สัปดาห์

เผลอแป๊ปเดียว นี่เราออกจากบ้านมาครบอาทิตย์นึงแล้วเหรอ นึกไปแล้วเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจังเลยนะ เหมือนว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองเพราะความรู้สึกแย่ๆ ยังวนเวียนหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา ก็คงต้องให้เวลาตัวเองสักพักใหญ่ๆ เพื่อปรับตัวให้ชินกับโลกนอกกะลาและการอยู่คนเดียว อิสระนี่มันก็ดีนะ แต่มันก็ให้ความรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก

อืมม..ม
จะบอกความรู้สึกตอนนี้อย่างไรดีนะ แม้เพิ่งจะจบความรักที่เจ็บปวดไปได้ไม่กี่วัน แต่น่าแปลกที่ไม่คิดกลัวที่จะรัก และใจยังความหวังที่จะมีความรักดีๆ อีกครั้ง ที่ผ่านมาประสบการณ์เลวร้ายสอนให้คนเราแกร่งมากขึ้น รวมทั้งทำให้เราคิดได้จริงๆ ว่าเราต้องการอะไรจากความรัก ได้เข้าใจแล้วว่าบุญคุณกับความรักมันเป็นคนละเรื่องกัน แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องนำเปรียบเทียบกัน การรักใครสักคนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนแต่มันสั่งสมมาจากวันและคืนอันยาวนาน ก็เหมือนที่เค้าพูดกันว่า "ระยะทางพิสูจน์ม้า.. การเวลาพิสูจน์คน"

ต่อไปนี้จะพยายามเป็นตัวของตัวเอง จะไม่ฝืนใจตัวเอง ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำเพียงเพราะความเกรงใจอีกแล้วและขณะเดียวกันก็จะไม่กลัวที่จะเริ่มต้น!!

แหะๆ บ่นแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ติดกันหลายวันจนน่าเบื่อเลยเนอะก็เพิ่งจะมาเริ่มเข้าใจชีวิตก็ตอนอายุจะ 30 นี่แหละวันเวลามันผ่านไปเร็วจนไม่ทันรู้สึกตัว เหมือนวันก่อนเพิ่งจะเรียนจบอายุ 23-24 ปี กำลังสดใสซาบซ่าส์หันมามองอีกที อ้าว.. นี่ชั้นเเข้าสู่วัยกลางคนตอนต้นแล้วรึเนี่ย ทำไมจิตใจยังไม่ยอมโตเลยน้อออ

เฮ้อ~~~~~อ (ถอนหายใจยาวๆ)


###เมื่อไหร่กันน๊า ที่ความรักของชั้นจะสมหวังซักที###

วันพุธ, ตุลาคม 15, 2551

"รัก" ในวันที่อาจจะสายเกินไป

ช่วงนี้กำลังเผชิญกับเรื่องราวหนักๆ ในชีวิตอยู่ ก็เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะออกจากกะลาเสียที มันก็เลยมีอุปสรรคต่างๆ นานามาทดสอบความกล้าล่ะมั๊ง ยอมรับว่าเหนื่อยกายและเหนื่อยใจสุดๆ กำลังใจมันก็มีบ้างหดบ้างเป็นบางเวลา แต่ไหนๆ ก็คิดจะเคลียร์ชีวิตทั้งทีแล้ว ก็อยากจะจัดการความสัมพันธ์ที่มีให้มันเรียบร้อยไปเลยในทีเดียว ในเมื่อวันนี้ความสัมพันธ์ที่คาราคาซังมานานก็จบไปแล้ว (มั๊งนะ..อย่างน้อยก็กับเราเอง) ตอนนี้ก็เลยอยากรู้จุดยืนของตัวเองให้ชัดเจนแน่นอนว่าจะปฏิบัติอย่างไรกับใคร เมื่อไหร่ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาคิดไปเองคนเดียวอีกต่อไป


เกือบสองปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาที่อยู่ในกะลา ได้แต่หวังกับตัวเองว่าสักวันเราคงมีความกล้าพอที่จะตัดขาดกับความสัมพันธ์ที่เรารู้สึกตัวได้แล้วว่ามัน "ไม่ใช่" รังแต่จะนำมาซึ่งความอึดอัดใจ อยากที่จะเริ่มต้นใหม่กับคนที่เราคิดว่าเค้ารักและพร้อมจะดูแลเราตลอดไป อย่างที่เค้าเคยพูดคำสำคัญกับเราถึงสองครั้ง เพื่อให้เราเชื่อ และมั่นใจว่าเค้าคิดและตั้งใจแบบนั้นจริงๆ แต่ในวันนั้นเราตัดสินใจได้ไม่ดีเลย เพราะความสงสาร ทำให้เราตัดไม่ขาด ทำให้ทุกอย่างมันอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ เพียงเพราะ "ความไม่กล้า" นั่นเอง


ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็ได้แต่คิดหวังไปเองว่าเค้าคงยังไม่มีใคร และใจเค้ายังคงเหมือนเดิม ฟังดูอาจเป็นละครไปหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็มีความสุขที่ฝันไปอย่างนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น ไม่อาจรู้ได้เลยว่าความรักนั้นจะยังคงอยู่หรือไม่ หรือมันจะยังเหลือแต่ความรู้สึกดีๆ ความห่วงใยและความผูกพันที่มีต่อกัน ..หรือเปล่า.. ได้แต่คิดเช่นนั้นอยู่ในใจทุกวัน


ในที่สุดวันที่เราตัดสินใจเด็ดขาดก็มาถึง ท่ามกลางความเสียใจ ความเจ็บปวด และความกลัว กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แม้จะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เพียงแค่โทรศัพท์เค้าคนนั้นก็มาดูแลช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งได้ในยามต้องการใครสักคน


ในวันนั้นเราได้พบกับเค้าอีกครั้งด้วยหัวใจที่พร้อมจะสานต่อความรักที่ห่างหายไป แต่ความรู้สึกลึกๆ ที่เราสัมผัสได้มันไม่เหมือนเดิมสังเกตได้จากการพูดคุย เหมือนเค้าพยายามเลี่ยงที่ตอบคำถามในเรื่องความรู้สึกของเค้า คงเพราะไม่อยากให้ความหวังและไม่อยากให้เราเสียใจแต่เราก็ต้องการจะรู้ให้ได้ มันเหมือนมีอะไรค้างคาในใจ ยิ่งในช่วงที่ต้องการเคลียร์คัตอย่างนี้ ยิ่งต้องการจะรู้ความคิดในใจจริง จนในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามในสิ่งที่คิดมาตลอดเกือบสัปดาห์


คำตอบที่ได้รับมันไม่บวก แต่ก็ไม่ลบเสียทีเดียว แม้ว่าจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไรนัก รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำที่เค้าพูดตรงๆ แต่ก็ยอมรับว่าเสียใจ ความรู้สึกมันสับสนปนเปไปหมด


เมื่อคืนนี้นั่งคิดอยู่นาน หลังจากที่ได้ถามความรู้สึกของเค้า และได้คำตอบมาว่าความรู้สึก "รัก" ที่เค้ามีต่อเรามันไม่เหมือนเดิม ความเจ็บปวดที่ได้รับกับเวลาเกือบ 2 ปี มันทำให้ความรู้สึกจางลงไปมาก แต่ความห่วงใยยังคงมีให้เสมอ ได้ยินอย่างนั้นก็เศร้าไปพักใหญ่ เงียบ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญอะไร พยายามจะยอมรับความจริงที่เราเป็นคนทำให้เค้ารู้สึกอย่างนั้นเอง


โอเค.. เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นจากนี้ไปเราจะแสดงออกให้น้อยลงกว่าเดิม คิดแล้วก็รู้สึกอายตัวเองที่เปิดเผยความต้องการออกไปอย่างนั้น ต่อไปจะไม่อ่อนแอและอ่อนไหวให้ใครเห็นอีก ในเมื่อรู้แล้วว่าเค้าไม่ได้คิดเหมือนกับเรา เราก็ควรจะสำรวมกิริยา วาจาให้มากกว่านี้


ดังนั้น ถึงแม้ว่าเราจะรักเค้าแค่ไหน แต่เราจะไม่เอ่ยมันออกมาอีกแล้ว จนกว่าเค้าจะเป็นคนพูดคำนี้กับเราอีกครั้ง เค้าเคยเสียเวลา เสียใจ เพราะเรามาเยอะแล้ว มันก็ไม่แปลกอะไรที่ความรู้สึกมันจะถอยห่างออกมาจากเมื่อวันนั้น คราวนี้คนที่ต้องรอคอยคงเป็นเราแล้วล่ะค่ะ แต่ผลจะเป็นยังไงทุกอย่างเป็นเรื่องของอนาคต แล้วแต่บุญแต่กรรมที่ทำมาร่วมกัน


ไม่รู้สินะ คิดไม่ออกเหมือนกันว่า วันหนึ่งเราจะกลายเป็นคู่กัน หรือจะกลับมาเป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนเมื่อก่อน..

วันอังคาร, ตุลาคม 14, 2551

ออกพรรษา.. ออกจากทุกข์ (คุก) ในใจ

แปลกดีนะ วันนี้มีคนส่ง fwd mail มาให้สองคนแล้ว่า วันนี้ อังคาร 14 ต.ค. เป็นวันพระ และวันออกพรรษาพร้อมกับมีธรรมะเล็กน้อยๆ แนบมาให้อ่าน

อันที่อ่านแล้วรู้สึกว่าโดนใจตอนนี้เห็นจะเป็นที่บอกว่า "อย่าเสียเวลากับความหลัง" กระมัง
เค้าว่า 90% ของคนที่ทุกข์เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ

--ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น--

มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบบเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วยความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันไปซะ..

อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน

..อยู่กับปัจจุบันให้เป็น..

ให้กายอยู่กับจิต ให้จิตอยู่กับกาย มีสติกำกับตลอดเวลา
..ว.วชิรเมธี..
ในที่สุดมันก็จบไปแล้วสินะ นับเป็นเวลา 5 ปีกับ 9 เดือน กับความรักที่ไม่น่าเกิดขึ้น
เมื่อคนเหงากับคนเศร้ามาเจอกัน ความสัมพันธ์ท่ามกลางความเห็นอกเห็นใจกันก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา
กาลเวลาผ่านไป เรื่องราวมากมายทั้งร้าย-ดี กลายเป็นความทรงจำร่วมกัน
นำมาซึ่งความผูกพันที่ทำให้ตัดขาดกันไม่ได้สักที
ไม่อยากคิดเลยว่ามันจะจบลงในรูปแบบนี้จริงๆ

เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเราก็มีเยอะ แม้วันนี้ไม่มีเธอแล้ว ก็ขอเก็บความทรงจำดีๆ ไว้ให้ระลึกถึง
เรื่องร้ายๆ ขออโหสิกรรมอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองกันอีกต่อไปเลย
จากนี้ไปทางเดินคนละทางคงจะแยกจากกันได้เสียที..

ลาก่อนนะ ความรักครั้งหนึ่งของชั้น..

วันอังคาร, กันยายน 02, 2551

ข่าวดี หรือ ข่าวร้าย ดีฟะ!!!

เมื่อวานครบสองอาทิตย์แล้วกับการหูเดี้ยงเป็นครั้งที่สอง ก็เลยไปพบหมอตามนัดแต่คราวนี้ได้พบหมอคนใหม่เนื่องจากคนเดิมไม่มา ซึ่งที่จริงก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะว่าหมอคนนี้ไม่มา แต่ก็จะไปอ่ะหาคนอื่นก็ได้ 555 (ที่จริงอยากเปลี่ยนหมออยู่แล้วล่ะ เพราะอะไรเดี๋ยวรู้)

หลังจากนั่งรอจนเหงื่อแห้งและใกล้ๆ จะเคลิ้มหลับ ก็ได้เวลาเข้าไปพบหมอ นั่งปุ๊ปหมอก็เอาอุปกรณ์สีดำที่น่าจะเป็นกรวยพลาสติกใส่เข้าไปในหูแล้วก็ส่องดู ก่อนจะเอาเครื่องดูดเสียงดัง จิ้มๆ ดูดๆ จนมึนหัวไปหมด

พอวางเครื่องมือแล้วหันมาบอกว่า ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ (เอาแล้วสิกรู...เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย)
แผลแห้งขึ้นนะ (อ้าวก็ดีแล้วหนิ แล้วไม่ดียังไง)
แต่เยื่อแก้วหูที่ทะลุน่ะมันใหญ่พอสมควร (อ้าวเหรอ ไหนหมอคนก่อนบอกว่าไม่เท่าไหร่ ยังพอหายเองได้ไง)
เป็นมานานหรือยัง (ก็หลายเดือนแล้วนะ แต่จำไม่ได้) แล้วก็เปิดแฟ้มดู ตั้งแต่มีนาคมเหรอ อืมมม 6 เดือนแล้วนี่ครึ่งปีแล้วคงต้องบอกว่ามันคงกลับมาหายเองไม่ได้แล้วล่ะ คงต้องผ่าตัดซ่อมแซมเยื่อแก้วหู

(((((ฮะ... อะไรนะ ผ่าตัดเหรอ)))))

ผ่ายังไงเหรอคะ ไม่เคยมีข้อมูลเรื่องนี้ พอจะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ได้ไหม
หมอหันกลับไปหยิบชาร์ตภาพมาให้ดูแล้วก็อธิบาย บลาๆๆๆๆ

วิธีการ..
สรุป คร่าวๆ ก็คือ ต้องผ่าไปที่หลังหู เพื่อตัดเอาเนื้อเยื่อบางๆ จากเนื้อส่วนอื่น มาแปะระหว่างกลางชั้นเยื่อแก้วหูสองชั้น คล้ายๆ การอัดสตรีมล่ะมั๊ง

ความเสี่ยง..
เรื่องหูตูบ เอ้ย หูดับ แบบว่าเดี้ยงไปเลย โอกาสไม่มากเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ไปแตะต้องหูชั้นใน ส่วนมากผ่าแล้วเปอร์เซ็นต์การได้ยินจะมากขึ้น และเสียงวิ้งๆๆๆ จะหายไป หรือน้อยลงส่วนผ่าแล้วจะทำให้การได้ยินดีขึ้นมากหรือน้อย ต้องวัดการได้ยินก่อนถึงจะพอประมาณได้

งั้นหมอจะส่งไปตรวจนะ

ค่ะ แล้วก็รับแฟ้มพร้อมใบสั่งตรวจ เดินงงๆ ไปห้องตรวจการได้ยินหลัง

วิธีการตรวจ
จับเข้าไปนั่งในตู้กระจก ในห้องที่คล้ายกับห้องเรดิโอ มีสาวนางนึงเอาหูฟัง กะ อุปกรณ์แปลกๆ มาหนีบหัว แล้วบอกว่าถ้าได้ยินให้ยกมือขึ้นทุกครั้ง แล้วก็เปิดเสียงปิ๊ด ปี๊ด ตรู๊ดดด ประหลาดๆ ให้ฟังแล้วก็มีการอ่านคำสั้นๆ ให้ฟังแล้วพูดตามที่ได้ยิน สักพักก็ออกมานั่งรอผล เอาไปให้หมออีกที

ผลตรวจ
หมอดูผลตรวจแล้วก็วางกระดาษให้ดู
ซึ่งดูแล้วก็งงๆ อะไรวะเนี่ย อย่างกะกราฟยังไม่ได้ต่อจุด มีสีน้ำเงิน กะ สีแดง
หมอมองตามพักนึง (แล้วคงคิดได้ว่ามันไม่เข้าใจแน่ๆ 555)แล้วก็อธิบายว่า นี่กราฟของหูขวา สีแดงของหูซ้าย (กราฟประหลาด มีขึ้นมีตกทะแม่งๆ แต่ที่แน่ๆ เส้นอยู่ต่ำกว่าหูขวาแน่นอน)ถ้าทำได้ดีที่สุดก็คงเท่ากับที่หูขวาได้ยิน ซึ่งก็โอเคนะ อยู่ในเรนจ์ปกติ(ทำหน้างงๆๆ ไม่เข้าใจจริงๆ อ่ะ)

ไม่เก็ทอ่ะค่ะ???

หมอก็เลยอธิบายต่อ คนเราปกติจะเริ่มได้ยินเสียงที่ประมาณ 20 เดซิเบล แต่เห็นไหมว่าข้างซ้ายมันอยู่ที่ประมาณ 35 เดซิเบล ถ้ารักษาแล้วก็คงได้ยินเสียงกระซิบได้น่ะเพราะตอนนี้คงไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ ก็ใช่อ่ะค่ะ มันมีเสียงวิ้งๆๆ ตลอดเวลาเลยนี่ มันรบกวนการได้ยินปกติอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเสียงเบาๆ นี่ถูกวิ้งกลืนแน่ๆ

เดี๋ยวหมอให้กลับไปหยดยาตัวเดิมอีกสักอาทิตย์นึง แล้วประมาณ 1 เดือนนัดมาดูอีกที ถ้าแผลแห้งแล้วค่อยว่ากันว่าจะทำยังไงต่อไป เคยดูอยู่กับหมอคนไหนเอ่อ... หมอ... ค่ะ แต่ถ้าจะให้หมอดูแลต่อได้ไหมคะก็แล้วแต่ครับ.. อืม สะดวกวันไหนล่ะ เสาร์-อาทิตย์

นัดเสร็จเรียบร้อย เสาร์ 27 สิบโมงเดี๋ยวรู้กัน!!

ก็โอเคค่ะ

เสียค่าตรวจเบ็ดเสร็จ 750 บาท เบิกได้ 700 จ่ายเอง 50 บาท กลับบ้านมาพร้อมกับความรู้สึกลอยๆ นี่ต้องเข้าโรงบาลอีกแล้วเหรอเรา

ดีใจอยู่อย่างที่เปลี่ยนหมอ

แหม...ม..ม ก็หมอคนเดิมน่ะ แสดงถึงความไม่ใส่ใจโลกให้เห็นก็เลยทำให้ขยาดๆ ไม่มั่นใจว่าแกจะไม่ใส่ใจเราด้วยหรือเปล่าน่ะสิ

เรื่องมีอยู่ว่าเราไปขอให้หมอสั่งน้ำเกลือ NSS ขวดเล็กให้ ก็กะว่าใช้ไม่เยอะอยู่แล้วก็เลยบอกว่าขวดเล็กก็พอค่ะ ใจก็คิดว่าหมอคงสั่งขวดเล็กแค่ 100 ml ให้ เพราะหมอคนไหนก็สั่งให้มาเป็น size นี้เป็นประจำ คงไม่แปลกอะไรถ้าจะเอามาล้างแผลที่หู พอได้ยินว่าขอน้ำเกลือ หมอก็ถามแบบงงๆ ใช้เยอะขนาดนั้นเลยหรือ?? แต่ก็สั่งให้ไม่ได้ว่าอะไรไอ้เราก็ไม่ได้ดูว่าหมอเขียนอะไรยังไง แต่พอไปเบิกยา เภสัชกรบอกว่า 500ml ไม่มี เอาขวด 1,000ml ไปแทนนะคะรับยามาถึงกะอึ้ง เฮ้ย! ขอมาล้างแผล ไม่ได้เอามาสระผมนะ ให้มาตั้งลิตรนึง มิน่าล่ะหมอถึงได้ถามว่าใช้เยอะขนาดนั้นเลยหรือ
ตกลงหมอไม่รู้ใช่ม๊ะว่าเค้ามีขวดเล็กด้วยเนี่ย เฮ้อ..

จนถึงวันนี้ไอ้ NSS ขวดนั้นมันก็ยังตั้งอยู่ที่บ้าน ไม่กล้าเปิดใช้เพราะมันเยอะเกินกว่าที่จะใช้ให้หมดใน 1 อาทิตย์น่ะสิ

แล้วพอถึงเวลาไปหาหมอตามนัด 1 สัปดาห์ หมอก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกว่าไม่มีอะไรแล้ว หากมีอาการอะไรก็มาหาหมอละกัน เฮ่อๆๆๆ ไม่แนะนำเลยนะ ว่าควรมาตรวจอีกตอนไหน แล้วระวังอะไรบ้าง

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 31, 2551

ดีค่ะ ดีไปทุกอย่างเลย..ย

สุขสันต์วันปกติค่ะ วันนี้ชีวิตชิวๆ ไม่มีอะไรมากมาย หลังจากที่เพิ่งจะได้ดูว่างานที่ตัวเองคิดว่าลนก้นอยู่นั้น มันดูผิดประเทศไปนิดนึง กลายเป็นอันที่เค้าขอ postpone ไปก่อนก็เลยมีเวลาหายใจหายคอได้มากขึ้นนิดส์...ส์

มีประโยคจากรุ่นพี่คนนึง ที่มันยังดังก้องอยู่ในหัวอยู่เรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่านานๆ ทีตัวเองจะตอบคำถามแบบโดนใจตัวเองซักที

เรื่องมันมีอยู่ว่า...วันก่อนนัดกินข้าวกะพี่ๆ เพื่อนร่วมรุ่น ป.โท หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานมากๆ เกินครึ่งปีแล้วมั๊งแล้วทีนี้นัดไปนัดมาได้มาเกือบครบซะนี่ แล้วยังมีเพื่อนเด็ก day program ที่สนิทกันอีก 2 คนมาร่วมแจม (เรียนด้วยกันก็จริง แต่รู้สึกเหมือนจะเจอ evening program มากกว่าอ่ะ)พอมาเจอกันก็เลยมานั่งอัปเดตข่าวสารกันซะหน่อย

หลังจากที่ทราบข่าว ค(ร)าวของเพื่อนสาวทั้งสองไปแล้ว ก็หวนเข้าหาตัวเอง เหอๆๆ รายสุดท้ายก็เลย "เปิดอก" คุยกันซะว่าอะไรเป็นยังไง ว่ากันตรงๆ โดยสาวๆ ทั้งสองก็มาร่วมฟังในทีเดียวรุ่นพี่คนนึงที่เคยเจอและก็เคยไปเที่ยวด้วยกัน ก็เปิดมาเลยว่า

เจอกันบ้างไหม เป็นไงมั่ง..

"ไม่ได้เจอเลยค่ะพี่ ปีนี้ทั้งปี ได้เจอกัน 2 ครั้ง"
"ไม่ค่อยได้คุยโทรศัพท์เหมือนเมื่อก่อน"
"แต่เมลคุยกันเรื่อยๆ""รวมๆ แล้วก็ห่างมากกว่าเมื่อก่อนอ่ะพี่"

แกนะ... เสียดาย เค้าออกจะเป็นคนดี
แรกๆ พี่ก็กลัวว่าเค้าจะมาหลอกหรือเปล่า
แต่พอคุยๆ ดู เค้าก็ดีนะแกดูเค้ารักแกมาก เห็นห่วงเป็นใย
แล้วเค้าก็เป็นผู้ใหญ่ ใจเย็น ดูแลแกได้ พี่ว่าเค้าเหมาะกับแกมากเลยแหละ

"เหรอพี่ หนูก็คิดงั้นเหมือนกันแหละ"

แล้วแกไม่สงสารเค้าเหรอ พี่ว่าเค้าคงรู้สึกแย่ไปเลยแหละ

"ก็คงแย่แหละพี่ คิดดูดิ อยู่คนเดียวมันเหงาแค่ไหน ไม่ต้องเจอด้วยตัวเองก็รู้ เห็นคนเดินด้วยกัน เรายังคิดเลย"
"สงสารเค้ามากเลยพี่ สงสารตัวเองด้วย แต่ก็ไม่รู้จะหาทางออกยังไง ก็เลยเฉยๆ หยุดยืนนิ่งๆ ปล่อยให้โลกหมุนไป"
"ถ้าใช่ มันก็คงใช่เองแหละพี่ ไม่อยากฝืนใครแล้ว"

เค้าเป็นคนดีมากนะแกไม่เที่ยวเตร่ ไม่กินเหล้า เล่นกีฬา เลิกงานกลับบ้าน ไม่ไปไหน

"อ๋อ ใช่ค่ะพี่ ชอบเล่นกีฬามากเลยแหละ เวลาอยู่บ้านก็ทำงานบ้านเอง วันอาทิตย์นี่วันทำงานบ้านแห่งชาติเลยนะ"
"ที่บ้านนะ อย่างเรียบร้อย บ้านนี้ไม่กวาดดูดฝุ่นกับถูพื้นเท่านั้น แล้วเค้าพับผ้านะพี่ เรียบร้อยโคตร เห็นแล้วอายเลยแหละ"
"เคยเดินออกจากห้องน้ำเท้าเปียกนะ เค้าเดินเอาผ้าถูพื้นเช็ดตามเลยอ้ะ จำได้จนทุกวันนี้เลย"
"เที่ยวบ้างเหมือนกัน แต่ได้ยินเค้าว่าดูแลตัวเองดีนะ ก็ยังกลัวๆ เป็นห่วงว่าจะโดนเด็กหลอกเหมือนกันแหละ"
"เค้าก็ดีมาก รักเด็ก รักสันติ เหมือนที่พี่บอกแหละค่ะ"
"และเค้าดีมาก จิตใจดีจนไม่คิดจะแย่งเรากลับมาเลย"

ห้า..ห้า..ห้าคนฟังถึงกะเงียบแล้วก็สรุปจบด้วยว่า ทำอะไรแล้วคิดว่ามีความสุขก็ทำไปละกัน อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวก็รู้เองแหละ

ก็ไม่รู้นะว่าไอ้สุขๆ ทุกข์ๆ เศร้าๆ เนี่ย เค้าเรียกว่าใช้ชีวิตมีความสุขหรือเปล่าหว่ามันก็รู้สึกเหมือนมีอะไรติดค้างในใจตลอดเวลามันก็มีอะไรให้ทำไปทุกๆ วันล่ะนะ จะบอกว่าไม่แฮปปี้เลยก็ไม่ใช่มันก็ดี ไปโน่น ไปนี่ สนุกๆ ขำๆ แต่มันก็เหงาๆ ลึกๆ ทั้งที่มีคนเดินด้วยตลอด (เหมือนฉลามกะเหาฉลามง่ะ)

แต่ที่แน่ๆ
ตอนนี้
เบื่อว้อยยยย

วันอังคาร, กรกฎาคม 29, 2551

ไว้อาลัย ตำรวจดีๆ คนหนึ่งค่ะ

วันนี้ไปอ่านไดของอดีต นรต.คนหนึ่ง (ที่ว่าเป็นอดีตเพราะย้อนเวลาไปในวันที่เค้าอัปไดฯ อ้ะ) เขียนได้น่ารักเชียว ตามแบบฉบับของเด็กวัยรุ่น (ปลายๆ??) มีศัพท์เด็กๆ และก็ภาษาวัยรุ่นๆ ที่อ่านแล้วก็อดอมยิ้มไปด้วยไม่ได้ จากชีวิตนักเรียนนายร้อยที่อยู่กันแบบผู้ชายล้วนๆ แสบสันต์สุดๆ

จนมาถึงวันที่เค้าเรียนจบออกมาทำหน้าที่รับใช้ชาติตามอุดมการณ์ที่คิดไว้ แบบประมาณว่า.. ตำรวจ แมน โคตรๆ.. ยิ่งอ่านก็ยิ่งได้เห็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายในชีวิตของผู้ชายคนนี้ แนวคิดและฝีปากของเค้าถูกถ่ายทอดออกมาได้น่าติดตามมากๆ แต่น่าเสียดาย....

น่าเสียดายจริงๆ ค่ะ เพราะเด็กหนุ่มคนนี้เพิ่งจะได้ขึ้นเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อเดือนที่แล้ว ตอนที่กลุ่มโจรใต้ปะทะกับหน่วยลาดตระเวณ ณ หลังเขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา แล้วเค้าซึ่งเป็นหัวหน้าชุด เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ปิดฉากชีวิตของผู้ชายดีๆ (เท่าที่รู้จักจากในไดฯ นะ) คนดีคนหนึ่งในวันคล้ายวันเกิดของตัวเค้าเองและแม่

เฮ้อ..มันน่าเศร้านะคะ

ยอมรับเลยว่าที่จริงแล้วเราเองก็ไม่ค่อยได้สนใจข่าวสารความเป็นไปของบ้านเมืองเท่าไหร่นัก ที่รู้ๆ อยู่บ้างก็จากหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็ข่าวในโทรทัศน์เท่านั้นเอง บางทีเวลาที่เราใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเมืองหลวง ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำและหลบห่ากระสุน ทำงานเพื่อความปลอดภัยของบ้านเมืองอยู่สุดขอบชายแดน ด้วยเงินเดือนอันน้อยนิด กับชีวิตที่ไม่ปลอดภัย บางทีมันก็รู้สึกเหมือนคนละโลกกันเลยนะ ละค้อนน.. ละคอน..

พอได้มาอ่านสิ่งที่เค้าเขียนลงในไดอารี่มันก็ทำให้เข้าใจความคิดของคนกลุ่มนั้นได้จุดหนึ่ง (ช่างเป็นความคิดที่คนอย่างเราคิดไม่ถึงจริงๆ)

คนบางคน..มีชีวิตอยู่กับอุดมการณ์ที่ฝันใฝ่ ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี แม้ว่ามันจะลำบากสักเพียงใด พวกเค้าเหล่านั้นก็ทำได้ เพราะมีความสุขกับสิ่งนั้นจริงๆ เกษียณมาก็มีความสุขตามอัตภาพ ไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่ก็สุขสบายใจ
แต่ คนบางคน..ใช้สารพัดวิธีเพื่อความเจริญก้าวหน้า แล้วพอเสวยสุข ลืมความลำบาก ลืมสิ่งที่ตัวเองเคยยึดมั่น ก็ลืมเพื่อนฝูงที่เคยเคียงข้างกัน
เฮ้อ (อีกที) ใดใดในโลกล้วน..อนิจจัง

ช่างคนพวกนั้นเถอะนะ

เอาเป็นว่า วันนี้ขอไว้อาลัยให้กับตำรวจหนุ่มที่น่าจะอนาคตไกล แต่ต้องจากโลกนี้ไปก่อนเวลาอันควร
ขอให้ไปสู่สุขคตินะ หมวดตี้..

พฤกษก พกาสร อีกกุญชร อันปลดปลง
โททนต์ เสน่งคง สำคัญหมาย ในกายมี
นรชาติ วางวาย มลายสิ้น ทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่ว แต่ชั่วดี ประดับไว้ ในโลกา

(ได้มาจากไดฯ ของหมวดตี้เอง ที่ครั้งนั้นยกมาเพื่อกล่าวถึงรุ่นพี่ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์)

อีกอย่างที่อ่านแล้วขนลุก
เค้าเขียนไว้ว่า..
ปี 47 เสียรุ่นพี่ นรต รุ่น. 56
ปี 48 เสียรุ่นพี่ นรต รุ่น. 57
ปี 49 เสียรุ่นพี่ นรต รุ่น. 58
แล้วตัวเค้าเอา ก็เสียปี 51 นรต. รุ่น 60
เฮ้ออ.. ชีวิตคนเราเอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ เกิดวันนี้ ตายวันพรุ่ง นี่สินะ ที่เค้าพูดกันว่าสังขารไม่เที่ยง..

เพิ่งเอามาลงน่ะค่ะ ที่จริงพิมพ์ๆ ไว้ตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อน คิดไป ทำงานไป มันก็เลยไม่เสร็จสักที หรือแม้แต่ว่ามันจะเสร็จแล้วก็ยังไม่มีโอกาสเอาไปแปะในบล็อกซะที วันทำงานมันก็วุ่นวายอย่างนี้แหละน้อ
พอถึงบ้านแล้วก็ไม่อยากจะเปิดอะไรแล้วค่ะ ไม่อยากคิด ไม่อยากทำ ตามประสาคนเฉื่อยที่ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับกิจกรรมส่วนตัว ไปเล่นคอมเค้าเดี๋ยวก็มีเรื่องอีก สู้ไม่ใช้ซะดีกว่า เล่นเกมส์ก็ได้ฟระ
คิดว่าตอนนี้ไม่มีของเก่าอะไรค้างแล้วนะ ไว้คิดอะไรใหม่ๆ จะรีบเอามาลง

เพลงหนัง..ฟังแล้วเศร้า..

"เมื่อยามฝนพรำเธอทำอะไร
เมื่อยามน้ำตารินไหลเธอคิดอะไรหรือเธอ
รอแสงสว่างหาทางออกไปไม่เจอ
ฝนในใจเธอจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่

กี่คราวที่ใจของเธออ่อนล้า
เจ็บเป็นเรื่องธรรมดา จะมาสิ้นหวังทำไม
ความทุกข์ความเศร้าลบเลือนให้เราเข้าใจ
เสียแล้วเสียไปเสียใจนานไปหรือเปล่า

มีวันที่ฝนซา มีวันที่ฟ้าเปิด มีดวงตะวันเคียงคู่ฟ้า
เพียงเธอเปิดหัวใจ เปิดทางให้ดวงตะวันสาดแสงมา
ให้น้ำตา เป็นยารักษาหัวใจ .......

ชีวิตนั้นมีเพื่อวันพรุ่งนี้ ที่เราต้องทำวันนี้เพื่อทำให้ดีให้ได้
ผิดหวังครั้งก่อนนั้นเป็นบทเรียนสอนใจ
ร้องไห้ทำไมเสียใจนานไปหรือเปล่า"

^
^^
ข้างบนนี้ที่จริงมันเป็นเนื้อร้องของเพลงประกอบละครเพลงหนึ่งที่เคยเป็น talk of the town ของชาวออฟฟิศแฟนละครหลังข่าวอยู่พักหนึ่ง อยากได้เพลงเต็มๆ อยู่เหมือนกันแต่ไม่มีเวลาและโอกาส ก็เลยได้มาเนื้อร้องเท่านั้น

ได้ยินเพลงนี้ทีไร รู้สึกเหมือน "หัวใจ" มันร้องไห้ไปด้วยทุกที
ตอนแรกก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเพราะอะไร รู้สึกแต่เพียงว่าประโยคเหล่านี้มันกระทบความรู้สึกอย่างประหลาด
ยิ่งได้มานั่งอ่านเนื้อร้องจึงได้เข้าใจมากขึ้น คงเป็นเพราะเพลงนี้มันเกี่ยวกับฝน.. น้ำตา.. และช่วงชีวิตที่เหมือนอยู่ในทางที่มองไปไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด

มีเพียง "ความคิดในสมอง" และ "หัวใจ" ที่มันบอกตัวเราเองอยู่ตลอดว่า ..เราคิดถึงใคร..

เค้าจะรู้ไหมนะ ว่าเราไม่เคยลืมเค้าได้เลย..
แทบจะทุกเวลา ในทุกๆ วัน จะต้องมีคำถามเกิดขึ้นในใจเสมอ
ทำอะไรอยู่นะ จะยุ่งอยู่ไหม จะเหงาหรือเปล่า จะคิดถึงเราบ้างไหมนะ

โดยเฉพาะก่อนนอน หลังจากปิดไฟ นอนหลับตา แล้วทิ้งน้ำหนักลงบนที่นอน ปล่อยตัวปล่อยใจให้พักผ่อน
ท่ามกลางความมืดและความเงียบ เค้าเป็นคนสุดท้ายที่เราคิดถึงจนหลับไป
คงไม่ผิดใช่ไหม ที่จะยังคงฝันถึงวันที่เราเคยนอนเคียงข้างกัน
กับประโยคคำถามที่ถามตัวเองอยู่ว่า เค้าจะยังรักเราอยู่ไหมนะ
คิดไปคิดมาจนหลับไปเอง..

ปลอบใจตัวเองด้วยประโยคที่ได้ยินมาว่า
..ไม่ต้องหนี ไม่ต้องไล่ตาม ถ้าเป็นรักแท้ เค้าจะมาหาเราเอง..

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 20, 2551

ผีบ้า เที่ยวล่าสุด

ที่เห็นว่าวันนี้มาอัป 2 รอบน่ะไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ อันที่แล้วเป็นข้อความที่นั่งพิมพ์ในร้านเน็ตเมื่อคืนนี้ แต่ไม่สามารถจะอัปได้เพราะ "กู" ฉลาดเกินไปอีกแล้ว มันแจ้งว่าที่ๆ เราอยู่อาจมี virus or spyware ให้เรา scan ตัวเองก่อนเพื่อความปลอดภัยของมัน ซึ่งเราก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะมันก็ธรรมดาของร้านเน็ตล่ะนะ ไม่มีน่ะสิแปลก 555

ส่วนอันนี้ข้อความสดๆ ร้อนๆ พิมพ์ไป คิดไปเลยล่ะ

เหตุต่อเนื่องจากเมื่อคืน หลังจากที่กลับบ้านไปเผชิญกับปัญหาอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนเรื่องไม่จบง่ายๆ เรียกว่าเกือบทั้งคืนผ่านไปกับการไปนอนอยู่ใน bath tub เพราะรำคาญเสียงร้องไห้ คร่ำครวญจากความเจ็บปวด อันเป็นผลจากการทะเลาะกัน แล้วต่างคนก็ไม่ยอม เครียดไปทั้งคู่ คนนึง (เราเอง) มึนไปหมด ทั้งหนักหัว ทั้งง่วง ทั้งหิว กะอีกคนนึง ปวดหัวเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งเสียใจและหิว เฮ้อ... ผลของการโมโห การโกรธ ไม่เคยดีกับใครเลยจริงๆ

ผ่านคืนนั้นทั้งคืนมาอย่างยากลำบาก แต่พอตอนเช้ามันหนักกว่านั้นเยอะ เราพยายามที่จะยืนยันคำเดิม "เย็นนี้ไม่ว่าง" แม้จะบอกไปตามตรงแล้วก็ตามว่าไม่ได้นัดกับใครที่ไหนไว้ ก็แค่อยากมีเวลาให้ตัวเองได้คิดว่าจะไปไหน ไปทำอะไรกับใคร ไม่อยากเดินตามวังวนเดิมๆ ก็แค่นั้น แต่เธอ คนที่พยายามแต่ "ขอร้อง" "เป็นครั้งสุดท้าย" โดยให้เหตุผลว่าครั้งที่แล้ว ครั้งสุดท้ายเพื่อจะพาเราไปหาหมอ ดูแผลที่คอ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเรา แต่ครั้งนี้ขอร้องเพื่อตัวเอง ทั้งที่เรายืนยันว่า "ไม่" ก็ไม่ยอมง่ายๆ ในที่สุดก็มาเอาชนะด้วยการไม่ยอมลงจากรถ โอเค.. ไม่ลงก็ไม่ลง วนรถกลับกะว่ามาจอดลานข้างหลังก็ได้วะ ไม่เอารถขึ้นก็ได้จะได้ไม่มีเรื่องเอาคนนอกขึ้นตึก แต่ยังไม่ทันจะวนลงสะพานดี เธอก็เปิดประตูจะกระโดดลงกลางถนนให้เป็นความลำบากแก่ชาวบ้าน จนเราอดไม่ได้ที่จะ "ชก" ไปทีนึง น่าจะเป็นที่หัว ทำให้นิ่งไปเลยด้วยความปวดหัว แล้วในที่สุด ความบ้าก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ..... กูเจ็บ เมิงรู้บ้างไหม .. เคยสงสารบ้างไหม.. และอื่นๆ อีกมากมาย ช่างเหมือนภาพ replay ของวันนั้นจริงๆ หึๆๆ แล้วก็ได้เห็นว่าเค้าก็บ้าอย่างที่มีคนเคยพูดไว้จริงๆ ด้วย

หลังจากเล่นมิวสิคลงรถ แล้วล้มคว่ำข้างรถ จนเราต้องไปหอบหิ้วขึ้นมาอีกครั้ง เพราะไม่อยากให้คนแถวนั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องทำร้ายกัน มันก็แค่ความอวดดี หยิ่งผยองของคนที่คิดว่าตัวเองแน่ก็เท่านั้น พอเข้ามาได้โดนเราด่าไปหลายที คราวนี้ผีบ้าก็อาละวาดจนได้ ทั้งชก ทั้งตบ ทั้งถีบ อยู่ในรถ ไอ้เราก็พยายามไม่ตอบโต้แค่จับแล้วปัดๆๆๆ จนทนไม่ได้เอาวะ สู้บ้าง พอโดนชกไป 2-3 ที ถึงขั้นเงียบ เฮ้ออออ ถ้ารู้งี้ ไม่ยอมเจ็บตัวจนปากแตก มือเจ็บหรอกวะ

เกลียดจริงๆ ผีบ้าเนี่ย เรื่องพักรบด้วยการลงที่ป้ายรถเมล์หน้าออฟฟิศ ส่วนต่อไปจะเป็นยังไง ก็คงต้องติดตามตอนต่อไปล่ะ

ข้อความจาก net cafe

จะเชื่อไหมเนี่ยว่าวันนี้มาอัปบล็อคจากร้านเน็ต!!

555 แฟร้งค์ๆ ค่ะ ร้านเน็ตจริงๆ เป็นเวลานานแสนนานที่ไม่เคยมาแผ้วพาลร้านเน็ต คาเฟ่ (มั๊ง) อย่างนี้

เรื่องของเรื่องคือ "มีเรื่อง" ไงคะ อารมณ์มันค้างมาตั้งแต่ช่วงบ่ายที่โทรศัพท์ทั้ง GSM และ DTAC ต่างก็ประสบปัญหาต่างๆ กัน ใครจะไปเชื่อคือว่าผีโทรศัพท์หลอก มีที่ไหนล่ะ profile เปลี่ยนเองได้ เดี๋ยวๆ ไม่หือ ไม่อือ ทั้งที่เราไม่ได้ไปแตะมันเลย (เท่าที่มีสตินะ) เดี๋ยวๆ เจอ blocked call ไม่งั้นก็มี call diverted ให้ปวดประสาทเล่น จนทุกวันนี้ชักจะเริ่มเชื่อว่าน้อง HP ที่จากไปเกิดจากเงื้อมมือตัวเอง T_T แง่งง...ง หลอกไปหลอกมา เริ่มหลอกตัวเองแล้วสิเนี่ย


โว้ย...ย...ยยย เซ็ง ..... เครียดดด.ดด
อยากจะกรี๊ดให้ลั่นบล็อก กะปัญหาบ้าๆ บอๆ ที่รบกวนมานานแต่ไม่จบเสียที
และวันนี้ก็เช่นกัน เถียงๆ กัน จบลงท้ายที่ ... คือ ไม่จบอีกตามเคย จะเข้าบ้านก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะมีผีในรถได้หากล็อกประตูซะตอนนั้น หรือไม่น้องเดียร์ก็อาจจะเจ็บตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างไม่ตั้งใจ ในเมื่อไม่สามารถทำอย่างที่ตั้งใจได้ ผลก็เลยลงเอยที่การเดินๆๆๆ ออกมาอย่างไร้จุดหมายและไร้เงินสักบาท

อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ไม่มีตังค์ติดตัวสักบาทเลยจริงๆ เดินดุ่มๆ ออกมาจนเจอตู้ BBL จึงสามารถหาเงินมาต่อชะตาตัวเองได้ แล้วสิ่งต่อไปที่ think หมาดๆ หลังจากเงยหน้าขึ้นสบตาผู้คนได้ก็คือ "ร้านเน็ต" แห่งนี้แหละค่ะ

ตอนแรกตั้งใจกะว่าไหนๆ ก็เล่นที่ออฟฟิศไม่ได้ เล่นที่บ้านก็ไม่ได้ งั้นโหลดมันที่ร้านที่ล่ะวะ 555 ด้วยความโง่ ลืมไปว่าร้านเน็ตมันไม่มี usb อย่าว่าแต่ port เลย แค่ไดร์ฟสักตัวมันก็ไม่มี ก็วัตภุประสงค์เค้ามีไว้เล่นเกมส์ออนไลน์นี่นา ทั้งร้าน นอกจากเราที่เปิด notepad นั่งพิมพ์ยิกๆ ก็มีแต่ counter, pangya และเกมส์อื่นๆ ที่ป้าเกิดไม่ทัน -_-" ทั้งนั้น ก็คิดว่าเปลี่ยนบรรยากาศ ดีกว่านั่งเศร้าจมกองน้ำตาตัวเองและคนอื่นให้สมองมันเครียด เอาเวลามานั่งอยู่คนเดียวให้ใจมันหายฟุ้งซ่านสักนิดยังดีกว่า

ด้วยคำถามเดิมๆ ในใจ "ถ้าไม่มีเค้า เราจะเป็นยังไง" คนที่เราคิดถึงตอนนี้เค้าจะดูแลเราได้ไหมนะ แล้ววันนึงคนๆ นั้นจะจากเราไปเหมือนที่เราพยายามจะจากใครบางคนตอนนี้หรือเปล่านะ คำถามเหล่านี้เคยถามมาหลายครั้งมากๆ และคำตอบที่ได้ก็คือ

"ไม่ทราบครับ มันเป็นเรื่องของอนาคต บอกไม่ได้"

อืมม นั่นสินะ ที่จริงมันก็เป็นเรื่องจริง คิดๆ ไปว่า หากเราเจอคำถามนี้เราจะตอบว่าไง.. ก็คงเหมือนกันค่ะ ตอบไม่ได้.. ทั้งที่รู้อย่างนี้แต่มันก็ยังมีความกลัวลึกๆ ในใจอยู่ดี รู้ตัวเองดีว่าเป็นคนขี้เหงาและอ่อนแอมากๆ หากไม่มีเธอคนนั้นจะเป็นยังไง มันอาจจะดีขึ้น feel free อย่างที่ต้องการ หรือมันอาจจะแย่ลง หากอะไรๆ มันไม่เป็นอย่างที่เราคิดว่ามันเป็นอยู่ตอนนี้ ยิ่งนึกถึงคำพูดของน้องที่รู้จักคนนึงที่ว่า คนเรานี่ก็แปลกนะ หลายๆ ครั้งที่เราต้องตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิต

ขวา..ทางเดินที่เห็นได้ชัดว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร แล้วทางนั้นมันจะพาไปยังจุดใด มันเป็นอนาคตที่ดี แต่ราบเรียบเหมือนเราเดินตรงไปตามทางนั้น

กับ

ซ้าย..ทางที่มันมืดไม่อาจมองเห็นได้ว่าจะเป็นอย่างไร มันอาจจะพาเราไปในทางที่มืดมนกว่านี้ หรืออาจจะเป็นทางที่ดีกว่าก็ได้

ทั้งที่เห็นข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจน แต่ก็นั่นล่ะ..สิ่งที่เรามองไม่เห็นมันก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย จริงไหม?? สุดท้ายแล้วน้องคนนั้นก็เลือกทางซ้าย คือ ไปเริ่มต้นทำงานกับบริษัทใหม่ และเท่าที่รู้เค้าก็น่าจะมีความสุขกับทางที่เค้าเลือกดี

เพราะอย่างนั้น แม้เราจะเห็นว่าทางที่เดินในตอนนี้มันเป็นอย่างไร ราบเรียบและเงียบสงบขนาดไหน แต่ใจเรามันบอกตัวเองอยู่ลึกๆ ตลอดเวลา ว่าเราอยากเลือกทางที่เรามองเห็นอยู่ไกลๆ แต่ไม่เคยสัมผัสมันอย่างใกล้ชิด บางทีทางเดินที่เราคิดว่ามันน่าจะดีกับเรา มันอาจจะตรงกันข้ามก็ได้

หนาวจัง ... ที่รู้สึกอย่างนี้เพราะแอร์มันเย็น หรือเราเองที่โดดเดียวกันแน่นะ

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 13, 2551

น้ำตา 1 ลิตร .. 1 Litre of Tear

ตั้งแต่หลังปีใหม่มา เพิ่งจะมีโอกาสได้มาอัปบล็อกนี่แหละ และก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้จะมีเวลา (และโอกาส) จะมาอัปตอนกลางวันหรือไม่ เพราะได้ยิน "แผน" แว่วๆ มาตั้งแต่ปลายปีก่อน ว่าของท่านๆ ที่นี่ จะส่งโปรแกรมมาแทรกการทำงานของแต่ละเครื่อง คาดว่าคงจะทนไม่ได้กับการรับมือกับข้อมูลขนาดยักษ์ที่เคลื่อนที่ไปมาเข้านอก-ออกในบริษัท ที่นับวันมันก็ยิ่งโตขึ้นๆ ขนาดเราเองยังคิดว่ามันไม่มีทางที่จะลดลงได้เลย

ตอนแรกก็คิดว่าเพราะเราหรือเปล่าหว่า เป็นต้นเหตุใหญ่?? แต่ก็ได้ยินต่อมาว่าหลายๆ คนของบริษัทแม่ก็เล่นเน็ตกระจาย 555 ไม่โดนคนเดียวแล้วเว้ยยย อย่างน้อยก็คงมีคนโดนเป็นเพื่อนอยู่ล่ะนะ

ก็พอเข้าใจหรอกนะว่าทำไมถึงต้องลงทุนตรงนี้ แหม.. ก็เมื่อก่อนอย่างมากก็แค่เล่น net, webboard, msn ธรรมดา แต่พอเทคโนโลยีก้าวหน้ามันก็พัฒนาความคมชัดในลายละเอียด กลายเป็นก้อนข้อมูลอ้วนๆ เคลื่อนที่ไปๆ มาๆ โดยเฉพาะไอ้พวก realtime หรือ steamming ใหญ่ๆ นี่แหละตัวดี จน banwidth ที่ขยายแล้วขยายอีกไม่มีพอสักที เพื่อตัดปัญหานี้มันก็เลยเป็นที่มาของเจ้า See What? ที่กำลังจะเข้ามานี่แหละ

เฮ้อ.. ช่างมันเถอะนะ เล่นได้ก็เล่น เล่นไม่ได้ก็หาอย่างอื่นทำ ฮา...

อีกไม่นานก็เดือนสามละ สิ้นปีงบประมาณแห่งการตัดวันลา-มาสาย ประจำปี ซึ่งปีนี้เราคาดว่าโดนกระจายแน่ๆ T_T ที่จริงก็ปลงๆ กับตรงนี้แล้วนะ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเห็นเป็นตัวเลขนี่มันจะช้ำแค่ไหนกันน้อ.. ทำไงได้ก็มันป่วยจริงๆ นี่หว่า ปีก่อนนี่เรียกว่ามหกรรมรวมโรคเลยนะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยป่วยหนักและบ่อยขนาดนี้เลย ก็ได้แต่หวังว่าปีนี้คงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่เห็นวี่แววว่าจะเป็นอย่างนั้นเลยก็เถอะ

เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนติดหนังเรื่องหนึ่งอย่างมาก "1 Litre of Tear " หนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของเด็กสาวคนหนึ่งอายุเพียง15 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคทางสมอง Spinocerebellar Degeneration เป็นโรคที่รักษาไม่หาย โดยอาการของโรคจะทำให้แกนสมองเสื่อมลงอย่างช้าๆ ทำให้การควบคุมการเคลื่อนไหวค่อยๆ เสื่อมลง จากเดินไม่ได้ พูดไม่ได้ กินไม่ได้ สุดท้ายก็นอนอย่างเดียวจนหมดลมหายใจ ในขณะที่สมองส่วนความคิด ความเข้าใจยังคงทำงานเป็นปกติ ในที่สุดจากเด็กสาวอายุ 15 ปี เรียนเก่ง เป็นนักกีฬา เป็นที่รักของทุกคน กลายเป็นคนพิการมากขึ้นในทุกๆ วันจนตายไปเมื่ออายุเพียง 25 ปี

จะเป็นอย่างไรบ้างนะ ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าอีกหน่อยจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง??

รู้ว่าทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาว่าจะมีสิ่งที่ทำไม่ได้เพิ่มขึ้นทีละอย่าง
และทุกๆ วันเรื่องธรรมดาที่เคยทำได้ก็กลายเป็นเพียงสิ่งที่ "เคยทำได้"
และวันหนึ่งก็ต้องตายไปโดยไม่มีแม้โอกาสที่จะคำพูดสุดท้ายกับคนที่สำคัญที่สุด

ได้ข้อคิดจากเรื่องนี้เยอะนะ หลายๆ ประโยคทำให้เราได้ฉุกคิดขึ้นมาในฐานะในปกติธรรมดา และคนที่กำลังมีอาการทางสมองเหมือนกัน แม้ว่าเราคงจะไม่ได้เป็นโรคเดียวกับ Kito Aya แต่อย่างน้อยความกลัวในสิ่งที่ตัวเองจะทำมันก็คงมีเหมือนๆ กัน ในขณะที่เค้ากลัวว่าสิ่งที่จำได้ว่าเคยทำได้ จะกลายเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้แล้วในวันนี้ ส่วนเราสิ่งที่ทำในวันนี้อาจจะจำไม่ได้ในวันรุ่งขึ้น ยังไงอาการไม่ปกติก็คงไม่มีใครอยากจะเป็นหรอกนะ ถ้าเลือกได้..

คนที่เดินและวิ่งได้เป็นปกติ คงไม่เห็นความสำคัญของมัน เท่ากับคนที่วันนี้ต้องนั่งรถเข็น..
คนที่หยิบช้อนส้อมกินข้าวได้เอง คงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่สามารถบังคับตัวเองให้หยิบมันขึ้นมาได้..

และคำถามที่ถามออกมาว่า "ทำไม..โรคนี้ถึงเลือกหนู.."

งานสละโสดส่งท้ายปี 2007

วันนี้มีเรื่องแปลกกับชีวิตอีกแล้ว
จากตอนแรกที่นั่งคิดมาตั้งแต่เมื่อวานว่าจะเขียนเรื่องอะไรต่อไปดี ก่อนหลับตานอนก็ยังคิด..คิด..คิด อยู่พักใหญ่ แต่พอมาถึงออฟฟิศ ก็ต้องก้มหน้างุดๆ อยู่กับงานตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยง (มีแอบแว่บหน่อยนึง ไปดูนาฬิกา 555)

จนได้เวลาพักเที่ยงกำลังจะขับรถไปกินข้าวข้างตึก ก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งเบอร์ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามาพร้อมด้วยคำถามมากมาย หึๆ ถึงจะเคยคุ้นแต่วันนี้คงไม่คุ้นหรอก ก็ในเมื่อ sim ม้นไม่มีข้อมูลเหลือเลยนี่หว่า..

สวัสดีค่ะ อยู่ที่ไหนคะ ทำอะไรอยู่คะ สบายดีไหมคะ บลา..บลา..บลา พร้อมลงท้ายมาว่าจำได้ไหมคะว่าใคร..
"จะไปทราบได้ยังไงคะว่าใครโทรมา" เสียงเริ่มกริ้ว..ว อีกนิดนึงต่อมวีนจะแตกแล้ว ก็เล่นโทรมาเล่น 20 คำถามตอนกำลังหิวๆ
ใครจะไปรู้ล่ะฟะ โทรมาก็บอกชื่อเด่ะ เหมือนความคิดในหัวจะสื่อไปถึงได้ ปลายสายเริ่มเข้าใจสถานการณ์จึงส่งเสียงชายหนุ่มมาแทน
"จำได้ไหมว่าใคร พี่เปาเอง เมื่อกี้ก็อาจารย์มธุรพจน์ไง"

...ถึงบางอ้อ.. เออ จำได้ละ ชื่อนี้จะลืมได้ไงล่ะ เหอๆๆ
อืมมมม ดีนะที่ไม่ได้วีนกะ "ท่านหญิง" ไปเมื่อกี้ ไม่งั้นคงเสียลุคไปละ เจ้าเด็กเมื่อวานซืนคนนั้น มันจะเปลี่ยนเป็นขาวีนไปซะแล้วในวันนี้ แต่กับคนที่ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนักในระยะหลังๆ และยังมักจะคิดถึงเราในภาพเดิมๆ ดูมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แรงไปนิดดด ล่ะมั๊ง ว่ามะ

"พี่จะแต่งงานวันศุกร์นี้แล้วนะ"
"เหมือนเพื่อนแน็ตเลย แต่งศุกร์นี้เหมือนกัน ที่รามาการ์เด้น"
"จริงดิ.. ที่เดียวกันเลย"
เฮ้ย.. ชักเหวอแล้วดิ โลกมันจะกลมอะไรขนาดนั้นฟะ แต่แว่วๆ ว่าแฟนพี่หมูอยู่การบินไทยนี่หว่า แล้วตานี่ก็ไม่น่าจะอยู่ที่นั่นได้
"เจ้าสาวชื่อไร" พี่เปายิงคำถามมา ในเวลาที่สมองเอ๋อๆ กำลังประมวลผล
เออ..ใช่ ลืมถามไปได้ไงวะเนี่ย .. "ชื่อหมู"
"งั้นคงคนละงานแล้วล่ะ แต่วันเดียวกันเลย"

เฮ่อ.. นึกว่าจะกลมกลิ้ง แต่นี่ยังมีเหลี่ยมนิดนึง 555 ความบังเอิญก็ยังมี "แต่" เนอะ ^_^
"ทำงานที่ไหนเนี่ย ไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ"
"อยู่อีซูซุค่ะ ตึกตรีเพชร น่ะ"
"ที่วิภาวดีใช่เปล่า ใกล้ๆ กันเลย พี่อยู่ปตท.ส.ผ."
"เหรอ ใกล้กันเลย ไว้เจอกัน"
"อืม เดี๋ยวนัดกินข้าวกัน"
"ว่าแต่ สาวเจ้าเป็นใครคะเนี่ย อิอิ"
"ถ้าคุยเรื่องนี้มันยาวน่ะ ไว้นัดกินข้าวกันวันสองวันนี่แหละ"
"งั้นก็ได้ค่ะ ไว้คุยกัน"

วางสายไปพร้อมกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปจากก่อนรับสาย (...รู้สึกอึ้งนิดๆ แฮะ ไม่รู้จะบรรยายยังไง..) อือออ ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ 555
แต่ก็ไม่แปลกใจอะไรที่เค้าโทรมาเสียงเป็นกันเองมากๆ ก็งี้แหละนะ คนมันจะแต่งงานแล้วหนิ มันก็อารมณ์ดีน่ะสิ
ช่างผิดจากหน้าตาที่เคยเจอครั้งล่าสุด ที่มองเราอย่างกะจะฉีกเป็นชิ้นๆ (...เมิง...เลือกคนอื่นที่ไม่ใช่กรูได้ไง..)

นั่งกินข้าวกลางวันไป ก็นั่งระลึกถึงอดีตไป ค่อยๆ ย้อนความรู้สึกกลับมาทีละเรื่อง ..
อาหารเที่ยงอร่อยกว่าปกติ แม้ว่าจะต้องอกหักจากร้านแรกที่คิดจะไปกิน
เพราะยอมแพ้คนเรือนแสน และไม่มีเก้าอี้ว่างสักตัว! .

กลับมาถึงโต๊ะ โทรศัพท์ก็เขย่าอย่างแรงเหมือนกลัวว่าจะไม่รู้สึก เพราะไขมันบดบัง
อ๊ะ พี่เปาโทรมาอีกละ เออ..ก็ดี.. อัปเดตซะหน่อยนึง
นั่งคุยกันอยู่พักหนึ่งพอได้รู้ความเป็นไปในชีวิตเกือบ 10 ปีที่แทบไม่เคยเจอกัน เท่าที่ฟังเสียงรู้สึกว่าโตขึ้นนะ
มีวุฒิภาวะมากขึ้นไม่เจ้าอารมณ์เหมือนเมื่อก่อน ลดความเซลฟ์ไปหน่อยซึ่งก็ดี

เอาไว้ว่างๆ ค่อยนัดกินข้าวกันดีกว่า เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาหน่อย ก็คงต้องเป็น MK สินะ 555 (แต่ยุคนี้คงไม่ได้ราคาเหมือนเมื่อก่อนแน่ๆ)

..
..
..
..
..
ว่าจะอัปข้างบนนี้ตั้งแต่หลายอาทิตย์ก่อน แต่เนื่องจากบ้างานไปหน่อย (ที่จริงก็ไม่หน่อยหรอกนะ อาศัยว่าสบายหู สบายตา ทำงานโดยไม่มีสิ่งรบกวนได้ มันก็เลยมีสมาธิยาวหน่อย ไม่ต้องเสียความอดทนไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง)
มันก็เลยทำๆๆๆ ไปเรื่อย ก็เพลินดีล่ะนะ เดี๋ยวๆ ก็เลิกงานละ ทำงานเยอะๆ ก็ดีจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ก็พอเข้าใจล่ะว่าถ้าบ้าเกินไป เดี๋ยวจะได้บ้าจริงๆ แน่

อ้ะ. ต่อ ดีกว่าเนอะ
ศุกร์ที่แล้วไปงานแต่งงาน 2 งานซ้อน ซ้อนจริงๆ นะ เพราะจัดที่เดียวกันแต่อยู่คนละชั้นเท่านั้นเอง งานนึงเป็นรุ่นพี่ของเจ้าหมูป่า ซึ่งเราก็รู้จักและเค้าก็ให้ซองมาด้วย ก็เลยไปตามคำขอ ส่วนอีกงานนึง อดีตรุ่นพี่ (ที่แสนดีเป็นช่วงๆ) คนสนิท เชอะ..ในที่สุดเค้าก็ชิงแต่งก่อนเราจนได้ แต่ก็ช่างเหอะ ถ้าคิดว่าดีแล้ว มีความสุขแล้วก็ทำไปเถอะ

งานนี้กะแวะไปดูหน้าเจ้าสาวน่ะ อยากรู้ว่าหญิงที่นายคนนี้เลือกจะเป็นไง ได้เจอแว๊บแรก เออว่ะ.. เค้าอ้วนขึ้นอย่างที่เจ้าตัวบอกจริงๆ
เมื่อก่อนจำได้ว่าหุ่นมันออกแนวทหารกว่านี้นี่หว่า ตอนนี้ดูกลายเป็น office man ไปเลย ส่วนเจ้าสาวก็ตุ้ยนุ้ยดี หน้าตาก็โอเค แต่ดูท่าเธอจะขึ้หึงอย่างที่สุด นี่ขนาดไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวนะ ทักกันแว่บนึงก็เห็นเลยว่าเธอคนนี้น่าจะหึงอย่างโหด

ส่วนเราเองจากที่เคยคิดว่าชีวิตน่าจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย เข้าแนวหลังชนฝาแหละ เอาไงก็เอา ใช้ contingency plan ดีกว่าในเมื่อคิดอะไรไว้มันไม่ค่อยจะ smooth เล้ยยย ยังไม่รู้อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง เพราะปัจจุบันก็ยังงงตัวเองอย่างไม่จบสิ้น

ลืมบอกไป ขอให้มีความสุขมากๆ กับชีวิตคู่นะคะ ทั้งเจ้าสาวชั้นสอง กับเจ้าบ่าวชั้นหนึ่ง