ตั้งแต่หลังปีใหม่มา เพิ่งจะมีโอกาสได้มาอัปบล็อกนี่แหละ และก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้จะมีเวลา (และโอกาส) จะมาอัปตอนกลางวันหรือไม่ เพราะได้ยิน "แผน" แว่วๆ มาตั้งแต่ปลายปีก่อน ว่าของท่านๆ ที่นี่ จะส่งโปรแกรมมาแทรกการทำงานของแต่ละเครื่อง คาดว่าคงจะทนไม่ได้กับการรับมือกับข้อมูลขนาดยักษ์ที่เคลื่อนที่ไปมาเข้านอก-ออกในบริษัท ที่นับวันมันก็ยิ่งโตขึ้นๆ ขนาดเราเองยังคิดว่ามันไม่มีทางที่จะลดลงได้เลย
ตอนแรกก็คิดว่าเพราะเราหรือเปล่าหว่า เป็นต้นเหตุใหญ่?? แต่ก็ได้ยินต่อมาว่าหลายๆ คนของบริษัทแม่ก็เล่นเน็ตกระจาย 555 ไม่โดนคนเดียวแล้วเว้ยยย อย่างน้อยก็คงมีคนโดนเป็นเพื่อนอยู่ล่ะนะ
ก็พอเข้าใจหรอกนะว่าทำไมถึงต้องลงทุนตรงนี้ แหม.. ก็เมื่อก่อนอย่างมากก็แค่เล่น net, webboard, msn ธรรมดา แต่พอเทคโนโลยีก้าวหน้ามันก็พัฒนาความคมชัดในลายละเอียด กลายเป็นก้อนข้อมูลอ้วนๆ เคลื่อนที่ไปๆ มาๆ โดยเฉพาะไอ้พวก realtime หรือ steamming ใหญ่ๆ นี่แหละตัวดี จน banwidth ที่ขยายแล้วขยายอีกไม่มีพอสักที เพื่อตัดปัญหานี้มันก็เลยเป็นที่มาของเจ้า See What? ที่กำลังจะเข้ามานี่แหละ
เฮ้อ.. ช่างมันเถอะนะ เล่นได้ก็เล่น เล่นไม่ได้ก็หาอย่างอื่นทำ ฮา...
อีกไม่นานก็เดือนสามละ สิ้นปีงบประมาณแห่งการตัดวันลา-มาสาย ประจำปี ซึ่งปีนี้เราคาดว่าโดนกระจายแน่ๆ T_T ที่จริงก็ปลงๆ กับตรงนี้แล้วนะ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเห็นเป็นตัวเลขนี่มันจะช้ำแค่ไหนกันน้อ.. ทำไงได้ก็มันป่วยจริงๆ นี่หว่า ปีก่อนนี่เรียกว่ามหกรรมรวมโรคเลยนะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยป่วยหนักและบ่อยขนาดนี้เลย ก็ได้แต่หวังว่าปีนี้คงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่เห็นวี่แววว่าจะเป็นอย่างนั้นเลยก็เถอะ
เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนติดหนังเรื่องหนึ่งอย่างมาก "1 Litre of Tear " หนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของเด็กสาวคนหนึ่งอายุเพียง15 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคทางสมอง Spinocerebellar Degeneration เป็นโรคที่รักษาไม่หาย โดยอาการของโรคจะทำให้แกนสมองเสื่อมลงอย่างช้าๆ ทำให้การควบคุมการเคลื่อนไหวค่อยๆ เสื่อมลง จากเดินไม่ได้ พูดไม่ได้ กินไม่ได้ สุดท้ายก็นอนอย่างเดียวจนหมดลมหายใจ ในขณะที่สมองส่วนความคิด ความเข้าใจยังคงทำงานเป็นปกติ ในที่สุดจากเด็กสาวอายุ 15 ปี เรียนเก่ง เป็นนักกีฬา เป็นที่รักของทุกคน กลายเป็นคนพิการมากขึ้นในทุกๆ วันจนตายไปเมื่ออายุเพียง 25 ปี
จะเป็นอย่างไรบ้างนะ ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าอีกหน่อยจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง??
รู้ว่าทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาว่าจะมีสิ่งที่ทำไม่ได้เพิ่มขึ้นทีละอย่าง
และทุกๆ วันเรื่องธรรมดาที่เคยทำได้ก็กลายเป็นเพียงสิ่งที่ "เคยทำได้"
และวันหนึ่งก็ต้องตายไปโดยไม่มีแม้โอกาสที่จะคำพูดสุดท้ายกับคนที่สำคัญที่สุด
ได้ข้อคิดจากเรื่องนี้เยอะนะ หลายๆ ประโยคทำให้เราได้ฉุกคิดขึ้นมาในฐานะในปกติธรรมดา และคนที่กำลังมีอาการทางสมองเหมือนกัน แม้ว่าเราคงจะไม่ได้เป็นโรคเดียวกับ Kito Aya แต่อย่างน้อยความกลัวในสิ่งที่ตัวเองจะทำมันก็คงมีเหมือนๆ กัน ในขณะที่เค้ากลัวว่าสิ่งที่จำได้ว่าเคยทำได้ จะกลายเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้แล้วในวันนี้ ส่วนเราสิ่งที่ทำในวันนี้อาจจะจำไม่ได้ในวันรุ่งขึ้น ยังไงอาการไม่ปกติก็คงไม่มีใครอยากจะเป็นหรอกนะ ถ้าเลือกได้..
คนที่เดินและวิ่งได้เป็นปกติ คงไม่เห็นความสำคัญของมัน เท่ากับคนที่วันนี้ต้องนั่งรถเข็น..
คนที่หยิบช้อนส้อมกินข้าวได้เอง คงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่สามารถบังคับตัวเองให้หยิบมันขึ้นมาได้..
และคำถามที่ถามออกมาว่า "ทำไม..โรคนี้ถึงเลือกหนู.."
วันพุธ, กุมภาพันธ์ 13, 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น