วันศุกร์, ตุลาคม 17, 2551

~~โลกจิต~~

ผลพวงจากมรสุมชีวิต ที่ทำให้ต้องฝากกระเพาะไว้กับชาวบ้านตลอดสัปดาห์ หรือถ้าจะให้เห็นภาพก็คือ ลูกนก (น่ารักเกินไปไหมเนี่ย) ที่รอให้แม่เอาเหยื่อมาป้อนน่ะแหละ ออฟฟิศก็โคตรเงียบ มืดๆ ทึมๆ แทนที่จะนั่งตั้งตารอข้าวซึ่งยิ่งไป concentrate มันก็ยิ่งรู้สึกว่ามันนาน มานั่งคิดข้อดี-ข้อเสีย ของการนั่งอ้วนอยู่ข้าวบนอย่างนี้ดีกว่า
ข้อดีคือ ไม่ต้องตากแดดร้อนให้ตัวดำ ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ไม่ต้องเหงื่อซ่ก และไม่... อะไรที่มันไม่ดีน่ะแหละ
ส่วนข้อเสีย มีข้อเดียวที่พบในตอนนี้คือ แมร่ง...งหิวฉิบ -_-"

นั่งไปแล้วก็เครียด ระหว่างเดินเอาเอกสารไปโยนใส่โต๊ะชาวบ้านพลันเหลือบไปเห็น "โลกจิต" หนังสืออะไรวะชื่อแปลกๆ อดใจไม่ไหวที่จะหยิบมาดู แล้วยิ่งเห็นชื่อคนเขียนด้วยแล้วทำให้ต้องเปิดอ่านอยู่ตรงนั้น เจ้าของความคิดแปลกๆ นั้นมันใช่ใคร นอกจาก "ไอ้แมว" นักวิทยาศาสตร์สุดประหลาดในสายตาเพื่อนๆ อย่างพวกเรา นึกออกไหมว่าเค้าเป็นใคร~~ ร

นายคนนี้ เมื่อก่อน คนอื่นรู้จักเค้าในนาม "ลูกจิรนันท์ พิตรปรีชา กับ เสกสรร ประเสริฐกุล" คนดังแห่งประชาธิปไตย ซึ่ง "ไอ้แมว" หรือ "คุณแทนไท" หรือ "ช้าง" (ชื่อเล่นจริงๆ) มันก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่หรอก เพราะมีแต่คนจ้องมองตลอดเวลา โตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มดังด้วยความเก่งตัวเอง ในฐานะเด็กชีวโอลิมปิก ผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง ครอบครัว โรงเรียน และประเทศชาติ จากนั้นก็ไม่ได้เจอมันอีกเป็นเวลานานมากๆ แต่ก็พอได้ยินเรื่องราวของเพื่อนๆ ผู้พบเห็นมันเป็นระยะๆ จากการนัดกินข้าวกัน ซึ่งไอ้แมวก็ไปทุกทีที่ว่าง แต่ไม่รู้เป็นไร ดวงเราแคล้วคลาดกะมันจริงๆ เพราะมันไปเราไม่ได้ไป พอเราไปมันก็ไม่ไป 555

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หลายต่อหลายเรื่องเล่าที่ได้ยินมาช่างแสดงความเป็นตัวตนของไอ้แมวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นเกมส์อัฉริยะข้ามคืน ตอนที่มันโคตรหิว แต่ไม่กล้ากินข้าวกล่องที่ทางรายการให้มาเพราะคิดว่าต้องเอาไว้ใช้เล่นเกมส์ หรือแม้แต่งานวิจัยของมันทำหัวข้อเกี่ยวกับการวิจัยพฤติกรรมทางเพศของปลาหมึก!! คิดได้ไงวะเนี่ย แอบไปส่องปลาหมึกตอนกลางคืน เพื่อมีส่วนร่วมในความสุขของมัน -_-"

เท่าที่รู้มานอกจากนี้แล้วยังมีงานอื่นๆ อีกมากมายที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วเช่น เป็นอาจารย์สอนชีววิทยาให้กับเด็กโรงเรียนคอนแวนต์หญิงล้วน เขียนหนังสือขาย เป็นพิธีกรรายการเกมส์โชว์ร่วมกับน้องชายสุดหล่อ (ไม่รู้เป็นพี่น้องกันได้ไง น้องสิงห์นี่ก็หล่อซ้าส์)

เพิ่งมีโอกาสได้อ่านหนังสือที่ไอ้แมวเขียน เปิดปุ๊ปก็ขำปั๊ป เพราะตัวหนังลือเหล่านั้นมันช่างสะท้อนความเป็นตัวตนของมันจริงๆ คำพูดกวนๆ ตลกๆ หรือวิทยาศาสตร์แบบสุดตีนของมัน ซึ่งแม้จะทะลึ่งปนหยาบแต่อ่านแล้วก็เพลินดี เหมือนกับได้นั่งคุยอยู่ต่อหน้ากัน มิน่าล่ะ หนังลือถึงได้ติดอันดับขายดีได้อย่างทุกวันนี้ และในความไร้สาระก็ยังมีสาระความรู้อีกมากมาย หากอ่านแล้วคิดตามก็คงได้ความรู้ติดหัวไปไม่มากก็น้อย ดูจาก abstract ข้างหลังหนังสือที่อ้างอิงถึงข้อมูลที่มีประโยชน์อีกมากมาย ทำให้รู้ว่ามันยากนะ ที่จะเขียนสาระหนักๆ ให้ไม่น่าเบื่อ
...เรานับถือนายจริงๆ ว่ะแมว..

(ตัวอย่างคำพูดจากเว็บโลกจิต)
ของทุกสิ่งในโลกนี้ย่อมมีที่มา ความขี้หึงก็น่าจะเหมือนกัน มันน่าจะต้องมีที่มาจากที่ใดสักแห่งศาสตร์ที่พยายามศึกษาประวัติความเป็นมาของสัญชาติญาณต่างๆ ซึ่งหยั่งรากอยู่ในจิตใจมนุษย์ มีชื่อว่า Evolutionary Psychology หรือ จิตวิทยาวิวัฒนาการ ทฤษฏีซึ่งเป็นแก่นของวิชานี้เข้าใจได้ไม่ยาก กล่าวคือ สัญชาติญาณใดๆ ก็ตาม ถ้ามันจะถูกส่งผ่านรุ่นต่อรุ่นมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็แสดงว่ามันน่าจะต้องเคยมีประโยชน์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งต่อการอยู่รอดและสืบพันธุ์ของบรรพบุรุษของเรามาก่อน มิเช่นนั้น มันก็คงจะหายสาบสูญไปนานแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น สัญชาติญาณกลัวความมืด หรือกลัวความเจ็บ สมัยก่อน มนุษย์วานรตนใดก็ตามที่เกิดมาแล้ว มีสัญชาตญาณชอบออกไปเดินเล่นนอกถ้ำในคืนเดือนมืด ชอบเอาหัวโขกหินผา หรือชอบเอาไม้ไปแหย่ไข่แมมม็อธ พวกนั้นคงตายตั้งแต่อายุไม่ถึง 12 คงไม่ได้มีโอกาสเติบใหญ่ทิ้งลูกทิ้งหลานเอาไว้มากนัก และไอ้สัญชาตญาณไม่รู้จักกลัวก็คงจะตายไปพร้อมๆ กับตัวของพวกมันด้วย ผิดกับพวกที่กลัวมืด กลัวเจ็บ ซึ่งมีโอกาสได้อยู่รอดสืบทอดสัญชาตญาณความกลัวนั้นผ่านไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปๆๆๆ อีกที ทั้งหมดนี้สามารถจินตนาการได้ไม่ยาก

เรื่องบางอย่างอาจชัดเจนน้อยกว่านี้หน่อย เช่น
ทำไมโดยธรรมชาติ ผู้ชายถึงชอบผู้หญิงเอ๊าะๆ เอวคอดๆ สะโพกใหญ่ๆ?

อันนี้จิตวิทยาวิวัฒนาการก็อาจจะบอกว่า เป็นเพราะลักษณะเหล่านี้บ่งบอกถึงความเป็นแม่พันธุ์ที่ดี มีลูกออกมาแล้วมีโอกาสที่จะสมบูรณ์แข็งแรงมากกว่า (อันนี้มีข้อมูลสนับสนุนว่าเป็นจริง เอาง่ายๆ คนทั่วไปก็รู้กันอยู่ว่า ผู้หญิงยิ่งมีลูกตอนแก่เท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสแท็งค์ง่ายขึ้นเท่านั้น) ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงกลับไม่ค่อยแคร์เรื่องอายุรูปร่างหน้าตาของผู้ชายมากเท่ากับเรื่องนิสัย ความรวย หรือสถานะทางสังคม นั่นก็อาจจะเป็นเพราะ รูปร่างกับอายุของผู้ชาย อาจจะไม่ได้สัมพันธ์กับความเป็นพ่อพันธุ์ที่ดีสักเท่าไหร่ ผู้ชายอย่างเราต่อให้แก่อายุ 60 หรืออ้วน 100 โล ก็น่าจะสามารถผลิตเสปิร์มได้วันนึงเป็นร้อยๆ ล้าน เหมือนๆ กัน ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงจึงวิวัฒนาการขึ้นมามีความสนใจในสิ่งอื่นๆ ที่น่าจะสำคัญกว่า อย่างเช่นลักษณะที่บ่งบอกถึงความเป็นสามีและพ่อที่ดีในอนาคต อะไรทำนองนั้น

สิ่งที่ควรจะพึงระวังเวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของทฤษฏีจิตวิทยาวิวัฒนาการ อย่างที่หนึ่ง เหตุผลที่เป็นต้นกำเนิดก่อให้เกิดวิวัฒนาการของสัญชาตญาณอันใดอันหนึ่งขึ้นมา อาจจะเป็นจริงในยุคสมัยหลายล้านปีก่อนซึ่งเป็นช่วงที่คนเรามีเวลานานที่สุดในการสะสมความเปลี่ยนแปลง แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นจริงในโลกทุกวันนี้ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนนู้น ผู้หญิงอายุเกิน 30 ไปแล้วอาจจะมีโอกาสแท้งลูกสูงมาก ผู้ชายที่ชอบเอ๊าะๆ ก็เลยได้เปรียบทางการสืบพันธุ์เหนือชายที่ชอบแบบอื่น ทุกวันนี้การแพทย์เจริญรุดหน้า ผู้หญิงวัย 30 กว่าๆ สามารถคลอดลูกได้อย่างปลอดภัยไม่เหมือนก่อน แต่ปรากฏว่าผู้ชายก็ยังมีสัญชาตญาณชอบเด็กๆ อยู่เหมือนเดิม เพราะซอฟแวร์มันอัพเดทตามโลกสมัยใหม่ไม่ทันนั่นเอง (เหตุผลเดียวกับตอน ‘ไอ้อ้วน‘) นี่ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีคุมกำเนิด ทำให้เรื่องเซ็กส์ไม่จำเป็นต้องผูกติดอยู่กับเรื่องสืบพันธุ์เสมอไป แต่ทว่าสัญชาตญาณต่างๆ เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ก็ยังคงดำรงอยู่เหมือนเดิม

คนอาจจะกระทำตามสัญชาตญาณอันใดอันหนึ่ง แต่ในหัวของเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องคิดตามเหตุผลซึ่งเป็นที่มาที่แท้จริงทางวิวัฒนาการของสัญชาตญาณนั้นๆ ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายเวลาเห็นสาวๆ หุ่นดี ในหัวอาจจะคิดว่า “อู๋ว เซ็กซี่จัง” แต่คงไม่มีใครคิดถึงขั้นว่า “อู๋ว อายุเท่านี้ รูปร่างแบบนี้แหละ อัตราการแท้งลูกต่ำสุด น่าสืบพันธุ์ด้วยจริงๆ” ผู้หญิงก็เหมือนกัน คงไม่มีใครมานั่งคิดว่า “อู๋ว อาเสี่ยถึงจะอ้วนและแก่ก็ไม่เป็นไรหรอก อัณฑะคงยังผลิตเสปิร์มได้เยอะอยู่ ที่สำคัญคือเขามีทรัพยากรเพียงพอที่จะเลี้ยงลูกเราได้ต่างหาก อย่างนี้สิ น่าจับมาทำผัวจริงๆ”

วกมาถึงเรื่องความขี้หึง.. ในมนุษย์เรา ความสัมพันธ์อันดีที่มั่นคงยาวนานระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง นับว่าจำเป็นยิ่ง ต่อความสำเร็จในการเลี้ยงดูลูกให้สามารถอยู่รอดเติบใหญ่ เช่นนี้แล้ว สัญชาตญาณอย่างความขี้หึง ซึ่งคอยช่วยสอดส่องตรวจตรา ปกป้องความสัมพันธ์ปัจจุบันไม่ให้หลุดไปอยู่ในกำมือของบุคคลที่สาม ก็น่าจะเป็นอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบทอดพันธุกรรมของบรรพบุรุษของเราอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายที่โดยสัญชาตญาณไม่ขี้หึงเลย ใจกว้างปล่อยให้เมียของตัวเองไปมีอะไรกับใครเมื่อไหร่ก็ได้ ในสมัยยุคดึกดำบรรพ์ก็อาจจะมีอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาคงไม่ใช่บรรพบุรุษของพวกเรา เพราะลูกที่เกิดมาคงจะเป็นลูกของชู้ซะมากกว่า

จะว่าไป มีจุดที่น่าสนใจมากอยู่จุดหนึ่ง ชายและหญิงมีข้อแตกต่างสำคัญยิ่ง คือผู้หญิงเท่านั้นที่เป็นฝ่ายตั้งท้อง ทฤษฏีจิตวิทยาวิวัฒนาการเล็งเห็นและทำนายทายทักว่า ความแตกต่างทางชีววิทยาตรงนี้เอง น่าจะนำไปสู่ความแตกต่างทางจิตวิทยาของความขี้หึงด้วยเช่นกัน พูดอีกอย่างหนึ่ง ความขี้หึงในเพศชายกับเพศหญิง น่าจะวิวัฒนาการออกมามีรูปแบบที่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว

เพราะอะไรน่ะรึ? หากเราลองคิดดู เพศชายเป็นเพศเดียวที่ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าลูกที่เกิดมาเป็นลูกแท้ๆ ของตัวเองจริงหรือไม่ หากเมียไปมีชู้มาแล้วผู้ชายไม่รู้ สิ่งที่เขาจะเสี่ยงต่อการสูญเสียมากที่สุด ก็คือเวลาและพลังงานซึ่งอาจจะต้องอุทิศให้ไปกับการเลี้ยงดูลูกของชายอื่น แทนที่จะได้เอาทรัพยากรเหล่านั้นมามอบให้กับผู้สืบเชื้อสายทางพันธุกรรมที่แท้จริงของตนเอง หากสมชายเลี้ยงลูกจนโตแล้วค่อยมาสังเกตเห็นว่า เอ๊ะ ทำไมเด็กมันหน้าไปเหมือนคนส่งพิซซ่า นั่นย่อมเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่สุดในเกมการสืบพันธุ์ และด้วยเหตุนี้เอง ผู้ชายจึงน่าที่จะวิวัฒนาการขึ้นมามีความเซนซิทีฟต่อเรื่องสิทธิขาดทางเพศในตัวคู่รักของตนเองเป็นพิเศษ

ในทางกลับกัน ผู้หญิง ถึงยังไงก็แน่ใจได้อยู่แล้วว่าลูกที่เกิดมาจะเป็นลูกของตนเอง ก็มันออกมาจาก… อืมม… ท้อง กูชัดๆ จะไม่ให้แน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นลูกในไส้ หรือจะบอกว่าอีเจ๊ข้างบ้านแอบมามีอะไรกับสามีเสร็จแล้วค่อยย่องเอาไข่มันมาฝังไว้ในมดลูกเราตอนเราหลับ อันนั้นก็คงจะเป็นไปได้ยากอยู่ เช่นนี้แล้ว หากสามีของผู้หญิงคนหนึ่งจะไปมีชู้กับหญิงอื่น สิ่งที่เจ้าหล่อนควรจะต้องกลัวมากที่สุด คงจะไม่ใช่เรื่องแน่ใจไม่แน่ใจว่าจะต้องมานั่งเลี้ยงลูกคนอื่นหรือเปล่า แต่น่าจะเป็นเรื่องของการสูญเสียความรัก ความเอาใจใส่ ที่พึงจะได้รับจากสามีมากกว่า ผู้ชายจะมีเวลาและทรัพยากรเหลือมาช่วยดูแลลูกดูแลครอบครัวมากน้อยแค่ไหนกัน หากเขามัวแต่แบ่งสิ่งเหล่านั้นไปให้กับผู้หญิงอื่น เซ็กส์เฉยๆ อาจจะไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องหัวใจนี่เสียหายหนัก และด้วยเหตุนี้เอง เพศหญิงจึงน่าที่จะวิวัฒนาการขึ้นมามีความเซนซิทีฟต่อเรื่องสิทธิขาดทางความรักในคู่ของตนเองเป็นพิเศษ

พูดง่ายๆ ก็คือ หากว่ากันตามหลักวิวัฒนาการแล้ว ชายควรจะหึงเรื่องนอกกายมากกว่านอกใจ ส่วนหญิงควรจะหึงเรื่องนอกใจมากกว่านอกกาย..
หญิง แฟนนอกกาย พอให้อภัย แต่นอกใจไม่สามารถให้อภัยได้ (ยิ่งนอกทั้งสองอย่างนี่ยิ่งบ้านแตกแน่)
ส่วนชาย แฟนนอกใจ ไม่เท่าไหร่ แต่นอกกายนี่สิ มึง(และมัน) ต้องตาย!

แล้วมันจริงตามนี้รึเปล่า? ปี 1992 นักวิทยาศาสตร์ชื่อคุณเดวิด บัส (David Buss) ได้ไปทดลองศึกษาดู เขาเอาแบบสอบถามไปแจกนักศึกษาชายหญิงประมาณ 200 คน โดยมีโจทย์คือให้จินตนาการระหว่าง
(1) แฟนตัวเองกำลังมีเซ็กส์อย่างเร่าร้อนกับคนอื่น (นอกกาย)
(2) แฟนตัวเองกำลังตกหลุมรัก Crazy in love กับคนอื่น (นอกใจ)

เสร็จแล้วให้เลือกว่าอย่างไหนทำให้เกิดอารมณ์โกรธเกรี้ยวและของขึ้นมากกว่ากัน

ผลการทดลองปรากฏว่า..
ผู้ชายส่วนใหญ่(ประมาณ 60%) เลือกข้อแรก(นอกกายร้ายแรงกว่านอกใจ)
ในขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่(ประมาณ 80%) เลือกข้อ2 (นอกใจร้ายแรงกว่านอกกาย)
ตั้งแต่ผลงานวิจัยอันนี้ออกมา หัวข้อนี้ก็ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง และช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็มีคนพยายามทำการศึกษาในทำนองเดียวกันออกมาอีกมากมายเต็มไปหมด รวมทั้งในประเทศตะวันออกอย่างเกาหลีและญี่ปุ่นด้วย ซึ่งก็ล้วนแต่ปรากฏผลออกมาคล้ายคลึงกัน แสดงว่ามันอาจจะสะท้อนได้ถึงสัญชาตญาณดิบที่แตกต่างกันระหว่างเพศจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ในแวดวงก็ยังมีความพยายามถกเถียงกันอยู่ว่า “เอ แค่ทำแบบสอบถามนี่จะเชื่อถือได้จริงเหรอ” หรือไม่ก็ “เอ ผลลัพธ์แค่ 60% นี่มันก็ไม่ได้แสดงถึง ‘คนส่วนใหญ่‘ ขนาดนั้นนะ” หรือไม่ก็ “เอ วัดผลแบบนี้ มันทำให้ดูเหมือนกับว่า นอกกาย ผู้หญิงไม่โกรธ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วอาจจะโคตรโกรธ แต่ที่เลือกช้อยส์ข้อนอกใจมากกว่า


อาจเป็นเพราะ ผู้หญิงเชื่อว่า ผู้ชายไม่มีทางนอกใจอย่างเดียวเฉยๆ แน่ ไอ้เฒ่าหัวงูนี่นอกใจกูแล้ว ต่อไปมึงก็คงไม่แคล้วต้องนอกกายเปลี่ยนจากกิ๊กมาเป็นชู้ด้วยชัวร์ พอจินตนาการไป แม่หล่อนก็เลยยิ่งโกรธจมูกบานขึ้นเป็นยกกำลังสอง กลายเป็นว่าช้อยส์ข้อนี้มันเหมือนรวมนอกใจและนอกกายเอาไว้ด้วยกัน สร้างปัญหาให้กับการแปลผลเป็นอย่างยิ่ง” สรุปแล้ว ความคิดเรื่องนอกกายกับนอกใจอาจจะแยกจากกันไม่ขาดเสียทีเดียว ผลการทดลองที่ได้ อาจแสดงถึงสัญชาตญาณล้วนๆ ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องความเชื่อส่วนตัวหรือค่านิยมนิยามที่แต่ละเพศมีต่อกันก็อาจจะมีผลด้วยเช่นกัน

ที่มา http://www.wit-view.com/lokjit/content/?page_id=116

ไม่มีความคิดเห็น: