วันจันทร์, ธันวาคม 24, 2550

ควัน.. หรือ เผา รักแห่งสยาม..

วันนี้อารมณ์กรึ่มๆ (แล้วมันเป็นไงฟะ ไอ้กรึ่มๆ เนี่ย -_-?) เอาเป็นว่าเกิดอารมณ์ศิลปินหน่อยๆ ยังแฮงก์มาจากหนังเมื่อสัปดาห์ก่อน (ที่จริงเขียนถัดจากวันที่ไปดู แต่ไม่ได้เอามาลงอ่ะ) "รักแห่งสยอง...ง" เอ๊ย สยามหนังที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรก่อนไปดูเลยแม้แต่น้อย จำได้แค่เพียงว่าหนังชื่ออะไร 555

ฟังจากชื่อหนัง ไอ้เราก็คิดว่ามันน่าจะเป็นหนังประมาณว่า รักชาติ หรือไม่ก็ หนังโบราณ สมัยที่เค้าเรียกประเทศไทย ว่า สยามประเทศ (เอ้า! พูดจริงๆ นะ ตอนแรกคิดประมาณนั้นเลย)จองตั๋ว (ตัวเองฟรี มี สะ-ปอน-เซ่อ) ได้ ก็ชิล.. ชิล.. เหลือเวลาอีกตั้งนานเกือบสองชั่วโมง ก็เลยลงไปซื้อของแสดงความยินดีให้ผู้ใหญ่..เสียตังค์แล้วสบายใจ T_T (ตรงไหน)จากนั้นก็ไปกินข้าว

เหตุผลที่อยากมาดูหนังที่นี่ เซ็นทรัลลาดพร้าว ไม่ใช่แค่มันใกล้อย่างเดียว แต่เพราะเจ้าวาฟเฟิลใส่ครีมของ Little Home ต่างหาก อยากกินชนิดที่ฝันถึงเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ได้กินอย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะกว่าจะกินข้าวเสร็จก็เหลือเวลาอีกสิบกว่านาทีเท่านั้น อีกทั้งยังอิ่มข้าวอีกต่างหาก ก็เลยได้คิดไปแค่เสี้ยวกว่าๆ พอหอมปากหอมคอ แหะ..แหะ..รู้สึกตัวอีกที เฮ้ย! ได้เวลาฉายแล้วนี่หน่า จ่ายตังค์เสร็จก็รีบโกยทันที ..
...
.......
ไปถึงโรงหนังก็จ้ำๆๆ เข้าไป ผ่านขาคนตั้งมากมาย (ก็เจือกเลือกซะกลางโรงเลยนี่หว่า ดันเข้าไปสายอีกต่างหาก) ต้องใช้วิทยายุทธอย่างมาก ไม่ว่าจะการกระดื๊บๆ ในทางแคบ การทรงตัวในลักษณะที่ไม่บาลานซ์ การกระโดดด้วยขาข้างเดียว กว่าจะถึงที่นั่ง ไอ้ F อะไรสักตัวนี่แหละ จำไม่ได้ เล่นเอาเซถลาไปถึงเก้าอี้เลย เหนื่อยฉิบ! จะว่าไปไอ้คนที่มันมาก่อน มันก็คงรำคาญเราเหมือนกันล่ะ ประมาณว่าไอ้ VEN นี่ มาทีหลัง แต่ได้ที่ดีกว่าตรู 555

เอาล่ะ มาเรื่องหนังต่อดีกว่า..


คุณเคยมีความรักหรือไม่.. และความรักแบบไหนที่เกิดขึ้นกับคุณ.. อีกไม่นานทุกคำตอบจะเกิดขึ้นกับทุกหัวใจ สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนลจะพาความรักหลากหลายรูปแบบที่ถูกโยงใยโดยมิตรภาพ และถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงรัก ที่จะทำให้ทุกคนได้สัมผัสกับช่วงเวลาอบอุ่น ในภายนตร์รักแห่งปี "รักแห่งสยาม" .... บลา..บลา..บลา.. (ต่อจากนี้เริ่มโฆษณาเยอะละ)แค่คำโปรยของหนังก็กระตุ้นต่อมอยากรู้ (คนละอันกับต่อม เสื...ก) ว่าเรื่องมันจะเป็นยังไงหนอ มันจะเหมือนกับที่เคยรู้สึกหรือเปล่านะ เริ่มคิดละว่าต้องไปดูซะหน่อย นี่แค่ตัวอักษรนะยังไม่ได้เห็นโปสเตอร์หนังที่มีหน้าใสๆ หล่อๆ ของสองหนุ่มตัวเอกของเรื่องโต้ง (มาริโอ้) หนุ่มหล่อที่มีแววตาเศร้าๆ ชวนค้นหา และมิว (พีช) หนุ่มน่ารักผู้มีรอยยิ้มหวานๆ กับสองสาวหน้าตาดี

เมื่อมีความรัก..ย่อมมีความหวัง รักแห่งสยาม ภาพยนตร์ที่ว่าด้วยความรักที่เกิดขึ้นกับหลายชีวิต หลายกลุ่มคน ที่เกาะเกี่ยวและโยงใยกันอยู่ในรูปแบบของความรักที่แตกต่าง ความสำคัญของความรักต่อการมีชีวิต ถ้าเราไม่กินข้าวเราตาย แต่ไม่มีความรักเราอยู่ได้ แล้วชีวิตจะเป็นยังไงถ้าไม่มีความรักเลย ก็คงจริงอย่างกวีบอกไว้แหละนะ เมื่อเกิดความรักก็ย่อมมีความหวัง หวังที่จะได้รัก หวังที่จะได้อยู่เคียงคู่กับคนที่เรารัก และหวัง.... (เอ่อ..อย่าเพิ่งคิดมาก เหมือนที่เราคิดเมื่อกี้นะคือตอนแรกนึกไม่ออกเลยจุด..จุด ไว้ก่อน กลับมาอ่านอีกทีสะดุ้งเลยเหมือนกัน เพราะมันดูสองแง่สองง่ามไปนิด) อย่างที่เคยเรียนกันมา เราทุกคนต่างรู้ว่า "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม"และเพราะคำว่า "สังคม" ทำให้คนเราต้องมีการติดต่อสื่อสารกันตลอดนับจากวินาทีแรกของชีวิตจนกระทั่งลาจากโลกนี้ไป และเมื่อเราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นรอบข้าง "ความรัก ความผูกพัน" ก็ย่อมเกิดขึ้นและดำเนินไป "ความรัก" จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับมนุษย์ แม้ว่าการขาดความรักจะไม่ทำให้ตายทันทีเหมือนกับการหยุดหายใจ หรืออดข้าว แต่ความทรมาณของคนที่ขาดรักมันเจ็บปวดลึกอยู่ในใจไม่น้อยไปกว่ากัน เหมือนที่เค้าพูดกันว่า "ตรอมใจ" นั่นแหละ แล้วชีวิตจะเป็นยังไงเมื่อขาดความรัก ไม่รู้สินึกไม่ออกเหมือนกันไม่มีความรัก อยู่ไปให้หมดวันๆ หนึ่งน่ะหรือ เพื่ออะไร?

รักแห่งสยาม สยามสแควร์ สถานที่ในความทรงจำของหลายๆ คน แต่ละคนก็มีประสบการณ์กับในสยามต่างๆ กันไป ไม่ว่าจะเป็นการพบรัก หรือบอกเลิกกัน มีความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นในที่แห่งนี้มีทั้งความสุขที่เราเคยหัวเราะ หรือความเศร้าจนต้องร้องไห้ ยิ่งได้บรรยากาศของลมหนาว สีสันของเทศกาลคริสมาสต์ การตกแต่งประดับประดาด้วยดวงไฟ ทำให้สยามยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าฤดูใดๆ แม้ว่าเราเองจะไม่ใช่สิงห์สยามสแควร์ แต่ก็เคยแวะเวียนผ่านไปหลายครั้งหลายครากับเพื่อน (หลายกลุ่ม) และไม่ใช่เพื่อน (คิดล่ะสิว่าใคร!) มีความทรงจำกับที่นี่ไม่น้อยทีเดียวความสุขเมื่อนัดเจอเพื่อน ได้เดินเล่น นั่งคุยกัน หรือความทุกข์ ที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือแม้แต่ได้รู้ความจริงอะไรบางอย่าง (ที่ไม่น่ารู้เลยจริงๆ) ฤดูร้อนกับการรับน้องสตาฟ ฤดูฝนกับวันที่วิ่งหลบฝนและน้ำท่วม และฤดูหนาวกับไฟประดับสวยงาม

อยากให้รู้ว่า.. เพลงรัก..ถ้าไม่รักก็เขียนไม่ได้..มีอีกหลายประโยคจากในหนัง รวมทั้งบทสัมภาษณ์ที่ฟังแล้วติดใจ แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เพราะงั้นอยากรู้ต้องไปดูเองค่ะ ^_^

เนื้อเรื่องย่อพอเข้าใจ“โต้ง” (มาริโอ้ เมาเร่อ) เด็กชาย ม. 6 หน้าตาดี มีแฟนสวยเสียจนเพื่อนๆ และผู้ชายทั้งสยาม สแควร์จะต้องอิจฉา แต่ใครเลยจะรู้ว่าความสดใสและน่ารักของ “โดนัท” (อธิชา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์) สำหรับโต้ง เริ่มจะกินไม่ได้เสียแล้ว โต้งเริ่มตีตัวออกห่างโดนัทและเริ่มค้นหาคำตอบให้กับชีวิตตัวเอง ในขณะที่ “มิว” (วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล) เด็กชายวัยเดียวกันผู้มีพรสวรรค์ทางดนตรีก็กำลังทุ่มเทความรักให้กับเสียงเพลงและวงดนตรีของตัวเอง มิวเป็นเด็กผู้ชายขี้เหงาที่ไม่เคยได้สัมผัสกับความรักมานานแสนนาน ตั้งแต่อาม่าตายจากไป

ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับโจทย์ “เพลงรัก” ที่มิวต้องแต่งให้กับ ”วงออกัส” เพื่อนำไปเสนอกับค่ายเพลงใหญ่ ....ในเวลาเดียวกับที่ “หญิง” (กัญญา รัตนเพชร์) เพื่อนบ้านของมิวก็คอยให้กำลังใจและแอบมองมิวอยู่ห่างๆ แต่มิวก็ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกที่หญิงมีต่อตัวเองเลย ....และแล้ววันหนึ่ง สยาม ก็เป็นที่ที่ทำโต้งและมิวก็ได้เจอกันอีกครั้ง หลังจากที่ขาดการติดต่อกันมานานตั้งแต่โต้งย้ายบ้านไปตอนเด็ก มิวแนะนำโต้งให้รู้จักกับ จูน (พลอย เฌอมาลย์) คนดูแลวงดนตรีของมิวที่หน้าตาเหมือนกับ แตง พี่สาวของโต้งที่หายตัวไปสมัยที่เขายังเด็ก โต้งจึงคิดแผนให้แม่ “สุนีย์” (สินจัย เปล่งพานิช) จ้างจูนปลอมตัวเป็นแตงเพื่อมารักษาอาการติดเหล้าให้กับพ่อ “กร” (ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี)และแล้ววันคริสมาสก็ใกล้เข้ามา คอนเสิร์ตใหญ่ที่ทุกคนเฝ้ารอคอยก็กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า วงออกัสจะได้เปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก มิวจะตัดสินใจอย่างไร แล้วใครจะเป็นผู้จับไมค์ร้องเพลงรักที่มิวเขียนขึ้น เรื่องราวจะลงเอยยังไงคงต้องไปหาคำตอบเองล่ะค่ะ

เพลงประกอบหนังเรื่องนี้เพราะมาก ยิ่งได้เห็นบรรยากาศของคริสต์มาสแล้วยิ่งอินไปกันใหญ่จะบอกว่าเราชอบเสียงที่ร้องโดยน้องนักแสดงมากกว่าเสียงนายคิวซะอีกนะ เสียงแหบๆ ของหนุ่มน้อย ฟังแล้วเหมือนว่าเค้าทุ่มเท เต็มที่กับเรื่องราวมากกว่านักร้องอาชีพที่ไม่ได้แสดงเอง

วันศุกร์, ธันวาคม 07, 2550

สมการแสนง่ายของชีวิต: คิดมาก > ปวดหัว > เครียด > "บ้า"

อีกแล้วสินะ ที่รู้สึกเศร้าๆ แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร จะว่ามันไร้เหตุผลก็ไม่เชิงนะ แต่มันเป็นเรื่องเดิมๆ ที่หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้สักทีมากกว่าพอคิดว่าตัวเองจะตัดสินใจได้ ก็กลับมีเหตุที่ทำให้ต้องยั้งการกระทำไว้ก่อน ผ่านมาสักพักก็กลายเป็นหนี้บุญคุณกันอีกทั้งที่ตอนแรกก็ยังเอาใจตัวเองออกห่าง เพื่อที่ว่าจะได้ไม่คิดถึงใจเขาใจเรา แต่ในวินาทีที่เรากำลังแย่เค้าก็อยู่ดูแลโดยไม่รังเกียจมันก็อดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งถึงสิ่งที่ได้รับมาถ้าเราเป็นคนใจร้ายที่ทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตัวเองได้โดยไม่ต้องนึกถึงใจคนอื่นมันก็คงจะดีสินะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเครียดอยู่คนเดียวอย่างนี้

เฮ้อ..รู้ทั้งรู้ว่ายิ่งเครียด เราเองก็ยิ่งจะแย่ กับสิ่งที่เป็นอยู่ความเครียดมันเป็นอาหารชั้นดีเลยทีเดียว ถึงแม้จะกินยาเม็ดละเป็นสิบเป็นร้อยก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไรหากเรายังเป็นอย่างนี้อยู่คนประเภทที่รู้แล้วยังทำ เค้าเรียกว่าอะไรนะ ....

เกือบปีที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นกับชีวิตเรามากมาย มากเสียจนบางทีก็รับไม่ทัน บางครั้งถึงกับเสียศูนย์ไปเลยก็มีเรื่องหนักๆ ในรอบปีนี้ก็คือ "ปัญหาสุขภาพ" อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พูดได้ว่าตั้งแต่เกิดจนถึงปีนี้ไม่เคยมีครั้งไหนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนไม่แข็งแรงแต่ กับปีนี้ปีเดียวความมั่นใจในเรื่องนี้ตกไปเลย หากต้องเดินเข้า-เดินออกโรงพยาบาลเหมือนเป็น supermarket อย่างนี้ ถ้านับวันจริงๆ ก็เกือบจะครบหนึ่งเดือนในเวลาหนึ่งปีไม่นับตัวเงินที่จ่ายไปอีกล่ะ ถึงจะเบิกได้เป็นบางส่วนแต่ถ้าไม่ต้องเสียเงินส่วนนี้จะดีกว่าไหม เมื่อคิดอย่างนี้แล้วใครจะทนไม่คิดได้อีกล่ะ

มีหลายครั้งนะที่รู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ เพราะความเจ็บปวด ความไม่แน่นอน และความกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดมันแย่นะที่ต้องอยู่ในสภาพที่ "น่าสงสาร" จากคนอื่นๆ ยิ่งเห็นเห็นแววตาที่เค้ามองมา มันก็ยิ่งรู้สึกสงสารตัวเองมากขึ้นทุกทีมีใครล่ะที่อยากจะเป็นอย่างนี้

ตาเจ็บ หลายต่อหลายรอบ มีทั้งเบาะๆ แค่ตาแดง หรือสาหัสอย่างกระจกตาถลอก หรือแม้แต่อาการเซ้นท์ต่อยาทีต้องลุ้นอยู่ตลอดทุกครั้งไป

กระเพาะอาหาร ที่ใครต่อใครพากันสันนิษฐานกันไปต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นโรคกระเพาะ โรคอาหารเป็นพิษ โรคกรดไหลย้อน ทำให้หน้ามืดตาลาย เหงื่อท่วมตัว อ้วกแตกได้เกือบทุกวัน ทำเอาจมกองอ้วกไปกลายครั้ง ถึงขนาดเก็บอ้วกไปตรวจเลยนะ ได้ความมาว่า กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกิน ต้องกินยาลดการหลั่งกรดก่อนอาหารไป 2 เดือนกว่าๆ

โรคไร้สาเหตุ โรคที่ไม่สามารถระบุได้ ถ้าให้คิดเองก็น่าจะเกิดจากไม่ถูกโรคกับตัวยา แต่ที่มันเป็นบ้างไม่เป็นบ้าง ทั้งที่ยาก็เหมือนกันทุกวัน เดี๋ยวเป็นกับยานี้ (ยาแก้อักเสบแก้แผลเน่าๆ) คราวหน้าเป็นกับอีกตัวนึง (ยาแก้อาการข้างบน) เจ้าอาการประหลาดที่หาสาเหตุไม่ได้นี้ รู้ได้ทันทีที่กระเดือกยาลงคอไป เพราะมันมีกลิ่นทะแม่งๆ ออกมาจากลมหายใจเลยอ่ะ แต่รู้ไปก็ไร้ประโยชน์เพราะมันลงไปแตกตัวเรียบร้อย ยังไงไม่เกิน 10 นาทีก็หน้ามืด ใจสั่น แล้วก็อ้วกแตกอยู่ดี เราเอ เพราะเป็นทีไรก็ต้องมีการกินยาไปก่อนทุกที จนตอนนี้หวาดระแวงชนิดต้องดมก่อนกินไปแล้ว อยากจะตั้งชื่อให้ว่า "โรค 8โมง" เพราะมันเป็นตอนเช้าทุกทีเลย

เอ็นข้อมือฉีก ไอ้ผลพลอยได้จากการหวังดีของเจ้าตัวช่วยที่มันลากคนป่วยลงบันได คาดว่าจะเกิดจากการกระแทกกับขั้นบันไดบ้านนั่นแหละ แรกๆ แค่ปวดๆ เจ็บๆ เหมือนมันมีอะไรครึ่กๆ เวลาลูบๆ อาทิตย์นึงก็แล้วยังไม่หายแถมเหมือนจะลามไปยังจุดต่างๆ อีก ไปหาหมอเค้าจับบิดๆๆ เจ็บง่ะ ก็เลยได้ความว่าเอ็นบางส่วนคงจะฉีกขาด ให้ใส่ wrist support ไป 1 เดือน ถ้าไม่หาย "กลับมาใส่เฝือก" ซะ

โรคเอ๋อ เมื่อก่อนเป็นแค่ปีละครั้งสองครั้ง วันเดียวก็หายไป จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ปีนี้หนักกว่าทุกปีเพราะมันเป็นหลายวันและยังเป็นวันธรรมดาซะอีก ดันมาแสดงความเอ๋ออย่างเด่นชัด ทำเอาเรื่องนี้ดังไปทั่วออฟฟิศไม่พอ มันดังข้ามประเทศไปเลย ไม่รู้ป่านนี้จะกลายเป็นคนโรคจิตไปหรือยังนะ พูดก็พูดเถอะจะว่าตลกก็ตลกหรอกนะ พฤติกรรมประหลาดๆ พูดจาไม่รู้เรื่อง เดินเป๋เหมือนเมาเนี่ย แต่แนวทางการรักษานี่สิ ฟังดูไม่สนุกเอาซะเลย ไม่คิดมาก่อนเหมือนกันว่าอาการแปลกๆ ที่ดูเหมือนจะธรรมดามันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ

หลังจาก CT SCAN ไปแล้ว เค้าบอกว่ามันเป็นอาการของ Neuro Transmitter Disfunction หรือว่า ศูนย์การควบคุมการสื่อสารในสมองทำงานผิดปกติ ทำให้กระแสประสาท (ประมาณกระแสไฟฟ้านั่นแหละ) มันส่งสัญญาณไปผิดที่ สมองซึ่งรับสัญญาณไปไม่ถูกต้อง มันก็เลยทำให้เกิดผลกับการทรงตัวและการสื่อสาร สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดอาการนี้ คือ "ความเครียด" ซึ่งจะทำให้สมองหลั่งสาร (อะไรสักอย่าง) ผิดปกติไป ถือว่าเป็น major depression อย่างหนึ่ง เหอๆๆ ฟังดูยิ่งเครียดหนักไปอีกนะเนี่ย

การรักษา อย่างที่บอกว่าโรคนี้เกิดจากความเครียด ฉะนั้นการรักษาก็คือ การทำตัวไม่เครียด สั้นๆ แต่ทำยากฉิบ แค่ที่ผ่านมาก็ทำให้เป็นถึงขนาดนี้แล้ว มาบอกให้ไม่เครียด ทั้งที่รู้ว่าตัวเองเป็นแบบนี้มันก็ลำบากมากๆ แล้วนะ ชีวิตอีกครึ่งหนึ่ง (คิดว่านะ) มันจะไม่เจอเรื่องเครียดๆ ยากๆ กว่านี้อีกเรอะ สงสัยจะได้ประสาทตายซะก่อนล่ะมั๊ง

บางทีโมโหมากๆ ยังคิดเลยว่า ให้มันจิตหลุดไปซะเลยจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไรที่มันไม่ "ประเทือง" ชีวิต!!

วันจันทร์, ธันวาคม 03, 2550

เมื่อสัปดาห์ก่อนได้ไปดูหนังเรื่องหนึ่งมา เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูแล้วรู้สึกประทับใจ จะว่าไปแล้ว หนังไทยเรื่องหลังๆ ทำออกมาได้ดี (ในสายตาเรา) ทีเดียว มันเยังไงน่ะเหรอ? อืม...ม ไม่รู้จะอธิบายยังไงถึงความรู้สึกที่ได้รับระหว่างดูหนัง หรือแม้แต่ตอนที่หนังจบไปแล้ว รู้สึกว่า..มันอบอุ่น มัน 'อิน' ไปด้วยกับเรื่องราวในหนัง อาจเป็นเพราะหนังไทยมันดูเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ เลยก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น character ของนักแสดง, costume, location, prop, หรือแม้แต่ dialogue มันคุ้นเคยไปหมด เหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่เราเคยพบมาก่อน หรือยังพบเจอได้ในปัจจุบันนี้โดยเฉพาะแถบสยามสแควร์ เซ็นเตอร์พอยด์ ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำนั่นเอง

ที่จริงเราเป็นพวกศรัทธาในหนังฝรั่งมาแต่ไหนแต่ไร ดูหนังฟัง soundtrack มาตั้งแต่ยังอ่านไม่ทัน (เรื่องฟังไม่ต้องพูดถึง แค่ใช้ตาอ่านยังลำบากเลย) แต่ก็ชอบในเสียงใน version จริง ที่ตัวละครพูดคุยกัน (แม้ว่าฟังไม่ค่อยจะกระดิก) มากกว่าเสียงที่ฟังรู้เรื่องทุกคำ แต่มันฟังแล้วขัดกับคนที่ดำเนินเรื่องอยู่ในจอหนัง บางเรื่องหน้าเหี้.. แต่เสียงงี้หล่อซ้าาา

เราว่า เสียงที่เกิดขึ้นจากตัวละครพูดหรือแสดงจริงๆ เมื่อเทียบกับเสียงพากย์ไทย เราว่าต้นฉบับมันให้ 'อารมณ์'กว่ากันเยอะ.. ว่ามั๊ย?เพราะงั้นพอมาดูหนังไทย ที่เสียงพากย์ที่ปากมันตรงกับเสียง มันได้ใช้ประสาทสัมผัสกลมกลืน "ตาดู-หูฟัง" มันย่อมดีกว่าจริงๆ ใช่ป่ะ

อีกอย่างนึง เราว่าหนังไทย 2-3 เรื่องที่ดูผ่านๆ มา เค้าก็สร้างได้ดีจริงๆ นะ เรียกว่า "เจ๋ง" เลยล่ะในความคิดเรา เรื่องที่ชอบๆ อยู่ก็มี..


"แฟนฉัน"
ดูแล้วคิดถึงความทรงจำเก่าๆ เหมือนเมื่อวันวาน เท่าที่รู้ผู้กำกับทั้งหลายก็เป็นคนยุคสมัยเดียวกับเรานี่แหละ เรื่องราวมันจึงออกมาได้เหมือนกับสิ่งที่เราเคยผ่านมา

"เพื่อนสนิท"
นายไข่ย้อยผู้แอบรักคนใกล้ตัวอย่างดากานดาเพื่อนสาวที่เค้าช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น.. ในที่สุดก็ไปลงเอยกับนุ้ยพยาบาลสาว

"ซีซั่นเชนจ์"
อันนี้ใกลตัวนิดนึง เพราะไม่มีหัวด้านดนตรีกับเค้าเท่าไหร่ แต่ก็ชอบการเล่าเรื่องของเค้าน่ะ

"สายลับจับบ้านเล็ก"
นี่เพิ่งดูมาหมาดๆ ในความแสบของน้ำปั่นก็ยังมีความอ่อนไหวอยู่ไม่น้อย แอบอิจฉาตอนจบนิดหน่อย

"รักแห่งสยาม"
เรื่องล่าสุดที่ไปดู ชอบบรรยากาศ เนื้อหา และเพลงประกอบ คาดว่าน่าจะออกอัลบั้มในไม่ช้า

มีอะไรอีกหลายอย่างที่เรารู้สึกได้จากหนังเหล่านี้ แต่ไม่รู้จะถ่ายทอดออกมายังไง ทำให้นึกถึงประโยคหนี่งในหนังว่า "เมื่อเวลาที่อยากจะบอกอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้จะพูดออกมายังไง ก็ให้ใช้ดนตรีเป็นสื่อในการถ่ายทอดความคิดออกมาแทนเรา"

เสียดาย..เล่นดนตรีไม่ค่อยเป็น แต่งเพลงก็ไม่ได้ ไม่งั้นคงไม่ต้องเครียดจากความคิดตัวเองอยู่อย่างนี้หรอก เฮ้อ..

วันพุธ, ตุลาคม 31, 2550

ปี 50 รอบปีแห่งความเจ็บป่วย

หายไปเป็นเดือนๆ เลยสินะเรา
ไม่ใช่ว่าลืม หรือ ขี้เกียจจะมาอัปนะ พอดีว่าช่วงนี้มันป่วยบ่อยมากๆๆ จนแทบจะ control ชีวิตตัวเองไม่ได้ วันๆ ได้แต่นั่งคิดว่าวันไหนจะป่วย วันไหนจะโดนหิ้วไปโรงพยาบาล ชีวิตทุกวันนี้เลยเหมือนต้องลุ้นอยู่ทุกวัน ก็เพราะมันไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรน่ะสิ!

เริ่มต้นตั้งแต่ต้นปีปลายเดือน "มกรา " ไปเตะบอลจนขาเดี้ยง เอ็นข้อเท้าฉีก ได้ใส่เฝือกกระดึ้บๆๆ อยู่ 1 สัปดาห์ แล้วกระย่องกระแย่งอีกเป็นเดือนกว่าจะดีขึ้น ทรมาณจริงจริ๊ง

กลางปี "กรกฎา-สิงหา" อยู่ๆ ก็ตาเจ็บ นอนๆ อยู่แสบตาจนต้องตื่นขึ้นมาตอนตี 2-3 หมอบอกว่า เยื่อบุตาขาวอักเสบ เป็นหมาตาแฉะเพราะเชื้อแบคทีเรีย กะไวรัสอีกพักใหญ่สลับกับ sense ยาหยอดตาที่เดี๋ยวแสบเดี๋ยวไม่แสบอีก เปลี่ยนยาไม่รู้กี่รอบงานนี้เกือบ 4 เดือนกว่าจะหาย แล้วก็ยังหวั่นใจว่ามันจะเป็นอีกไหม ทุกเช้ามองหน้าตัวเองในกระจก เห็นตาขาวแดงนิดๆ ก็อดหวั่นใจไม่ได้ทุกที

"สิงหา-กันยา" อยู่ๆ ก็พะอืดพะอมอ้วกตอนกลางดึก แล้วหลังจากนั้นก็อ้วกมาตลอด ไปหาหมอคนแรกบอกว่า โรคกระเพาะ อีกคนบอกว่า ลำไส้อักเสบ ตกลงเลยไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ ยิ่งต้องกินยาแก้อักเสบเพื่อรักษาโรคตาด้วยแล้ว กินยาเสร็จ เหม็นยาในท้องไม่เกิน 10 นาทีอ้วก แล้วก็เหงื่อท่วมเดินไม่ไหวเหนื่อยอีก ไม่กินก็ไม่ได้เพราะตาไม่หายอีก ในที่สุดเก็บอ้วกไปตรวจได้ความว่า กระเพาะเป็นกรดมากเกินไป ยาแก้อับเสบมันเลยออกฤทธิ์ดีเกิน ต้องกินยาลดการหลั่งของกรดไปอีก 2 เดือน

กลาง "ตุลา" ได้โรคใหม่มาอย่างไม่รู้ตัว อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหม็นๆ เหมือนที่เคยเป็นเวลากินยาแก้อักเสบ แต่าคราวนี้กลับมาเป็นกับยาแก้กรดแทน เล่นเอางงไปเลยว่าตกลงเป็นเพราะยาเสีย หรือ เราผิดปกติเอง เริ่มจากกินยา -> เหม็นยา -> อ้วก กลายเป็นอยู่ดีๆ ก็พะอืดพะอม เวียนหัว เหงื่อท่วม ความดันตก ไม่รู้สึกตัว อ้วกๆๆ จนต้องหามไปโรงพยาบาลสองรอบ หมอคนนึงบอกว่า น้ำในหูไม่เท่ากัน อีกคนบอก ไม่รู้ ต้องรักษาตามอาการ จนวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แต่ว่าตัวช้ำไปหมดเพราะโดนแทงน้ำเกลือ เจาะเลือด หลายรอบมากๆ แล้วก็ได้ยินว่าตอนไม่รู้สึกตัวนี่ถึงกับชักเลย น่ากลัวชะมัด

ล่าสุดปลาย "ตุลา" หลังจากอาการเวียนหัวดีขึ้น เริ่มสำรวจตัวเองก็เลยเจอว่าเจ็บแขนขวา เหมือนมันช้ำๆ จับแล้วเจ็บๆ เป็นอาทิตย์ก็ยังไม่หาย พอไปหาหมอเค้าบอกว่าน่าจะเอ็นข้อมือฉีกขาดเล็กน้อยร่วมกับหมอนรองข้อกระดูกอักเสบ เลยให้ใส่ wrist support ไป 1 เดือน ถ้าไม่ดีขึ้นต้อง x-ray แล้วรักษาต่อไป ตอนนี้เลยกลายเป็น RoboCat ดามแขนไปข้างนึงรำคาญดีทีเดียวโดยเฉพาะตอนนั่งพิมพ์คอมอย่างนี้แหละ

นี่แหละเรื่องราวความเจ็บป่วยในรอบปีนี้ หวังว่าที่เหลืออยู่อีก 2 เดือนก่อนสิ้นปีคงไม่ป่วยเป็นอะไรอีกแล้วนะเรา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐที่สุดแล้วแหละ

ไว้คราวหน้าจะมาเล่าเรื่องความเสียหายทางด้านทรัพย์สินให้ฟังนะ

วันพุธ, สิงหาคม 22, 2550

สับสน..

เอาไงดีนะเรา...
จะอยู่อย่างนี้ต่อไป หรือ จะก้าวออกไป

ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ากำลังทำอะไรอยู่
ทั้งที่ในใจคิดถึงผู้ชายคนนั้นตลอดเวลา
แต่กลับทนอยู่กับผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร

รัก.. หรือ สงสาร.. หรือรู้สึกผิด..
สามคำนี้ที่ทบทวนถามตัวเองมานาน
แล้วชีวิตตัวเองล่ะจะทำอย่างไรต่อไป
ถ้าเลือกอยู่กับปัจจุบันที่ดำเนินไปเรื่อยๆ
อนาคตที่ไม่มีแม้แต่ความฝัน จะมีความสุขได้หรือ

จากที่เคยสับสนในการเลือกทางเดินชีวิต
แต่ตอนนี้แม้แต่สุขภาพก็พาลจะแย่ไปด้วย
สามวันดี สี่วันไข้ เป็นอย่างไร ตอนนี้เข้าใจได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
มันทรมาณแค่ไหน ในการที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรแน่

ได้ยินว่า ให้ลักพาตัวไปเสียเลย
บางทีอาจจะเป็นการดีก็ได้
ในเมื่อปล่อยไปอย่างนี้มันก็มีแต่แย่ลง
ตัดสินใจเองมันยากนัก
มีคนช่วย "ฉุด" ขึ้นจากตรงนี้มันอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้
ว่าแต่..กล้าพอ หรือเปล่า??
แล้วพร้อมที่รับผิดชอบชีวิตนี้ได้ไหม??

ถ้าคิดว่าต้องการมาก ก็คว้ามาให้ได้สิคะ

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 14, 2550

เซ็งชีวิตเว้ยยย~~~

สับสน... สับสนใจชีวิตเจงๆ เลยเว้ยยย

อยากตัดสินใจให้ได้ซักทีจะมีใครช่วยได้ไหมน้อ..
เบื่อตัวเองที่วันๆ เอาแต่คิดเรื่องที่ไม่เคยจะทำได้ ตั้งใจตั้งท่าซะดิบดี กลับไปอีกทีก็เหมือนเดิม คือ ~จ๋อย dakก ~ กลับมาทู้กที
นับวันยิ่งคิดว่าความนับถือตัวเองมันน้อยลงๆ แทนที่จะโตขึ้นกลับทำตัวเป็นเต่าในกระดองไปซะ

ทำไมถึงรู้สึกเหมือนมีเชือกที่มองไม่เห็นมันคอยล่ามคอเอาไว้ตลอดเวลาเลยฟระ จะไปไหนก็ไปไม่รอด แม้จะไปแล้วก็ยังต้องกลับมาจนได้
นี่ชั้นโง่ หรือ ว่าบ้า กันแน่นะ

เรียนอะไรที่ว่ายาก มันกลายเป็นกระจอกไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องอย่างนี้ เง้อ...อ

เฮ้ออ... ไปละ กลับบ้านดีก่า
ไปนอนดูหนังที่สั่งมาเมื่อชาติก่อนซะที อย่างน้อยดูหนังก็ไม่ต้องคิดอะไรล่ะเนอะ

วันจันทร์, มิถุนายน 04, 2550

ใครก็ได้ช่วยชั้นที...

เฮ้อ..เหนื่อยจังเลย
ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะเลิกบ่นคำนี้เสียทีนะ ทั้งที่ทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นจากตัวเราเองเป็นผู้ก่อทั้งนั้น

มีเรื่องจะเล่าให้ฟังว่า เมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาไปต่างจังหวัดกับครอบครัว อันที่จริงวัตถุประสงค์ของการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้เพื่อเราเลย พ่อผู้ต้องการจะไปแก้บนให้ลูกชายสุดโปรด แต่ก็ไม่ไว้ใจให้ลูกชายขับรถทางไกล เลยมาเป็นภาระที่เราจนได้ แม่เองก็อยากจะไป เข้าใจนะว่าแม่น่ะรักพ่อ รักครอบครัว อยากไปไหนไปด้วย แต่พออายุมากขึ้นร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรงนักทำให้เป็นห่วงอีกเหมือนกัน

สองวันนี้ขับรถคนเดียวกว่าหกร้อยกิโลฯ ทั้งยังต้องเป็นคนจัดหาที่พัก หาที่กินข้าว สั่งอาหาร เรียกเก็บตังค์ หรือแม้แต่จ่ายเองก็มี
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าช่วงกันบ้างไม่ได้หรือยังไง

ถามว่ามันเหนื่อยสาหัสขนาดนั้นเลยหรือ ..มันก็เปล่าหรอก แต่มันอดคิดไม่ได้น่ะว่าถูกเอาเปรียบอยู่

มันเหนื่อยก็ตรงนี้แหละ เหนื่อยใจตรงที่ต้องทำอะไรเองแล้วเหมือนกับต้องดูแลคนทั้งบ้านด้วยตัวคนเดียว ในขณะที่คนอื่นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก่อนไปก็นอนไม่พออยู่แล้ว คืนนั้นฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจนอนไม่หลับอีกตามเคย อดจิตตกเรื่องสึนามิอ่าวไทยขึ้นมาไม่ได้ กว่าจะได้นอนก็ตอนที่ปลงๆ แล้วว่า

เอาเถอะอยู่ตรงนี้แล้วนี่ ถ้ามันเกิดจริงก็ต้องโดน ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว งั้นเป็นไงเป็นกัน พอกลับมาว่าจะนอนหลับยาวให้หายเหนื่อยล้า ก็เป็นอันจะต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า เพราะคนข้างๆ นอนไม่หลับ เห็นแล้วก็สงสารเค้านะ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง บอกตรงๆ ว่าทำตัวลำบากมากๆ จะสนใจก็ทำอะไรไม่ได้ จะไม่สนใจทำเป็นหลับมันก็รู้สึกผิดอีกนั่นแหละ เกลียดตัวเองจริงๆ เล้ยย เหมือนจะเป็นคนดีเห็นอกเห็นใจคนอื่น แต่ไอ้ที่ทำอยู่เนี่ยก็ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนเพราะเราทั้งนั้น

มาเช้าวันนี้พยายามจะอารมณ์ดีสดใส แต่ในที่สุดก็ต้องมาจ๋อย เพราะตัวเองอีกตามเคย ตลอดเวลาที่ไปเที่ยวกับที่บ้าน ใจเรานึกถึงอีกคนหนึ่งตลอดเวลา ป่านนี้เค้าจะทำอะไรอยู่นะ จะคิดถึงเราเหมือนที่เราเป็นบ้างไหม ภายใต้หน้าตาระรื่นซ่อนความคิดอยู่ในใจตลอดเวลา มีโอกาสจะโทรไปหาก็เจอน้ำเสียงแบบงอนๆ ท้อๆ "คิดถึง แต่ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยพยายามไม่คิด" อืมมม เข้าใจนะ เข้าใจมากๆ เพราะเป็นเหมือนกัน ที่ไม่พูดอะไรเพราะพูดไม่ออก ก็เราเป็นคนทำซะเองนี่นาจะพูดอะไรมันก็เป็นการแก้ตัวทั้งนั้น แต่พอได้ยินแบบนี้มันก็อดเอามาคิดไม่ได้อีกนั่นแหละ

อยากบอกว่า "รัก" นะ "รักมากๆ" ด้วย นับวันก็ยิ่งรักมากขึ้น อยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ก็คิดเหมือนกันว่ามันก็สมควรแก่เวลาแล้ว พอจะเคลียร์ให้รู้เรื่องไป ก็มีอุปสรรคเรื่องความเจ็บป่วยของอีกคนนึงเข้ามาอีก ทิ้งไปตอนนี้เค้าจะอยู่ได้ไหมนะ แค่ทุกคืนที่เห็นนอนพลิกไปมาด้วยความทรมาณ เราเองก็รู้สึกแย่มากๆ แล้ว ถ้าจะทิ้งเค้าตอนนั้นมันต้องใจร้ายมากแน่ๆ เค้าเองก็ดีกับเราตลอดมา แล้ววันนี้เราจะทิ้งเค้าไปง่ายๆ อย่างนี้น่ะหรือมันถูกต้องหรือ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้ว่าเราเองน่ะผิดมากๆ ถึงแม้ว่าเราจะรู้แล้วว่าเราต้องการอยู่กับใครในอีกครึ่งนึงของเวลาชีวิต แต่เราก็ทิ้งเค้าไม่ลงจริงๆ

"ใจนึงก็รัก อีกใจนึงก็เจ็บ เจ็บที่ยังรักเธอข้างเดียวอยู่ร่ำไป ใจนึงก็คิดจะเดินไปให้ไกล แต่อีกใจยังไม่กล้าพอ เพราะรู้ว่ายังขาดเธอไม่ได้"

เรื่องของวันก่อน (ค้างมาสองวันละ ได้เวลาเอามาลงสักที)

สองวันก่อนดูจะ busy เรื่องงานมากไปนิด (งี้แหละ..ขยันก่อนโบนัสออก เหอๆๆ) เลยพิมพ์ค้างๆ ไว้แล้วไม่ได้ upload รู้สึกตัวอีกทีใจมันก็แจ้นจะกลับซะแล้วก็เลยจำใจต้องแปะไว้กะ notepad
แต่ไหนๆ ก็พิมพ์ไปแล้วจะลบทิ้งก็กะไรอยู่ เอามาแปะย้อนหลังคงไม่เป็นไรเนอะ ..เนอะ..
...
...

วันนี้ไป SCB Park มา ได้ฤกษ์ไปจัดการเรื่อง DTAC ให้เรียบร้อยเสียที หลังจากโดนผี sim card หลอก เพราะมันเจ๊งได้เจ๊งดี
คิดดูดิ..ใช้มาตั้งนานไม่เคยมีปัญหาอะไร อยู่ๆ ก็พร้อมใจอันพังทั้ง 3 อันในหนึ่งสัปดาห์ กำ จริงๆ -_-"

ไปถึงกว่าจะหาที่จอดได้ยิ่งกว่างมเข็มในลิ้นชักเสียอีก (เพราะมันทั้งมืด ทั้งแคบ) วนไปวนมาอยู่สองรอบก็ได้ที่เสียบหัวเข้าไปแปะไว้ใกล้ๆ ทางเข้าพอดี
เดินขึ้นไปสูดกลิ่นอายความเจริญซะนิดแล้วก็เดินไป DTAC ที่นี่พนักงานแทบจะกราบลูกค้าเลยแฮะ มันนอบน้อมจนน่าตกใจ
ได้ซิมใหม่มาอย่างง่ายดาย โดยเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่เพราะข้อมูลที่มีหายเกลี้ยงเหมือนไม่เคยมีใช้บริการมาก่อน

เสร็จเรื่องก็ได้เวลากินละ ขณะเดินๆ หาของกินอยู่ก็คิดได้ว่ามี volcher McDonald เหลืออยู่นี่หว่า แวะไปกินแบบไม่ต้องจ่ายตังค์เยอะๆ ซะหน่อยดีก่า
ว่าแล้วก็เดินมาราธอนจาก east ->west ฝ่าแดดร้อนๆ เป็น (เพราะขี้เกียจเดินอ้อมไง ยอมดำซักนิดเพื่อย่นระยะทาง) ได้ double cheese burger + coke + frenchfries และ เพิ่มไอติม McFlurry อีกอัน
จ่ายไป 18 บาทสบายใจจัง อิอิ

ระหว่างทางกลับไปหาน้องเดียร์ เจอร้านหนึ่งคุ้นหน้าคุ้นตา แต่ไม่คิดว่ามันจะยังอยู่ 555 มันคือ "สเต็กลาว" นั่นเอง พอเดินผ่านไปบรรยากาศก็ยังเดิมๆ
แต่ไปถึงเจอคนแน่นร้านเลย คงเพราะเป็นเวลาพักกลางวันของวันสิ้นเดือนพอดี หนุ่มสาวชาวออฟฟิศคงต้องออกมาใช้ตังค์กันล่ะ

เจอบรรยากาศเดิมๆ แม้จะคนละเวลากันก็ตาม แต่ก็ทำให้อดนึกถึงความหลังครั้งเก่าก่อน เวอร์ชั่นสมัยยังสาวไม่ได้
ในวันนี้ยังจำได้เป็นอย่างดีถึงอดีตวันนั้นกับที่นี่ ที่ๆ ครั้งหนึ่งเคยนัดชายหนุ่มคนหนึ่งเจอกันเป็นครั้งแรกที่ SCB แล้วก็มากินข้าวด้วยกันครั้งแรกที่นี่ (แม้เค้าจะคิดว่ากินฟูจิก็เหอะ -_-")
แต่เราน่ะจำได้ชัดเจนเลยแหละ แหม.. ..ก็โคตรตื่นเต้นเลยนี่ 555..
ก็ตอนนั้นได้นัดเจอใครบ่อยๆ ซะที่ไหนล่ะ (แต่ยอมรับค่ะ ว่าเคยมีไปเจอเหมือนกัน แต่ครั้งเดียวก็ชิ่ง 55)
แล้วที่สำคัญครั้งนั้นเป็นนัดในเวลาค่ำมืดดึกดื่นด้วยแล้วนะ มันย่อมจำได้ไม่มีลืมอยู่แล้ว
กำลังคิดว่าถ้าตกลงปลงใจเมื่อไหร่ จะไปตอบรับ.. (หรือต้องไปขอเค้าแทนหว่า??) ที่นี่ซะเลยจะดีไหมน๊า.. ถ้าถึงวันนั้นแล้วมันยังอยู่อ่ะนะ 555

พูดก็พูดเถอะ ใครจะไปคิดนะว่าผ่านไปหลายปี เราก็ยังคงคบกันอยู่ แถมเปลี่ยนสภานภาพไปเรียบร้อยแล้ว
หลายปีมานี่ก็ผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะนะ ดีกัน..ทะเลาะกัน.. (บ่อยที่สุดน่าจะเป็น "งอน" กัน)
อาจจะยังไม่ครบ lop แต่ก็เรียกว่าหลากรสชาติเลยแหละ นึกไปเหมือนเราเพิ่งจะเจอกันเมื่อวาน ทั้งที่มันผ่านมานานทีเดียว

พอแล้วๆ กลับมาสู่ความจริงวันนี้ต่อดีกว่า..
กลับมาถึงก็นั่งกิน burger ในรถจนถึงเวลาทำงาน
บ่ายนี้ได้รับเอกสารกองเบ้อเร่อเป็นของขวัญจาก IMCT สงสัยสัปดาห์นรกจะกลับมาเยือนอีกแล้วสิเรา
จะว่าดีมันก็ดีนะ ได้โอT แต่แมร่งก็โค-ตะ-ระ เหนื่อยเลย
เลือกได้ขอกลับ 5โมงจะดีกว่านะ เฮ้ออ คิดแล้วก็เซ็ง เมื่อไหร่จะเสร็จฟะเนี่ย -_-"

วันพุธ, พฤษภาคม 23, 2550

ช่างเป็นรสชาติชีวิตจริงๆ (รสจัดมากๆ)

โว้ย ~~~~ย
อยากตะโกนดังๆ ให้หายบ้า เผื่อไอ้เรื่องที่จุกอก (ที่ไม่ค่อยจะมี -_-") อยู่ตลอดเวลามันจะลดๆ ลงไปซะที หรือถ้าจะให้ดี ช่วยหายไปให้หมดเลยด้วยเถิด _/I\_

โดนเค้าว่าเป็นคนสองใจ ฟังแล้วมันเจ็บจึ้ก! สุดๆ แต่มันก็คงจริงอย่างที่เค้าว่าล่ะนะ ก็เราน่ะรักคนสองคนในเวลาเดียวกัน

เฮ้อ..อันที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นหรอก เมื่อก่อนก็รักคนเดียวน่ะแหละ แต่วันหนึ่งเกิดรู้สึกขึ้นมาว่า ไอ้ที่เราคิดว่า "ใช่" มาตลอด (ไม่ว่าจะด้วยการเข้าใจไปเอง หรือจะเปลี่ยนใจทีหลังก็เถอะ) แต่เมื่อมาถึงวันนี้ความรู้สึกมันก็กลายเป็น "ไม่ใช่" ซะแล้ว

ความรักที่เคยมีลักษณะนั้น ใจเรามอบให้ใครอีกคนไปซะแล้ว คนที่ค่อยๆ พัฒนาจากความเป็นเพื่อน เพิ่มขึ้นเป็นคนรู้ใจ จนในที่สุดใจเราก็ยอมรับให้เค้ามาในฐานะ candidate คู่ชีวิต (เหมือนเยอะนะ แต่ก็มีอยู่คนเดียวนี่แหละ ที่ฝ่าอรหันต์เข้ามาได้) เหมือนละครจริงๆ ที่ทุกอย่างที่เราคิดฝันกำลังมาถึงในเร็ววัน (ถ้าไม่ติดเรื่องนี้อ่ะนะ)

แม้จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง เรามันก็คนปากหนัก พูดแสดงความรู้สึกตัวเองไม่เป็น เรื่องอะไรที่มันเกี่ยวกับตัวเอง มันก็มักจะพูดไม่ออกเสมอ ยิ่งถ้าพูดไปแล้วมันทำให้คนที่เราแคร์ต้องเสียใจ มันก็เหมือนคนน้ำท่วมปากพูดไม่ออกเลยจริงๆ

หากจะหลุดออกมาแต่ละทีก็คงเป็นตอนสติแตกแบบ "ที่สุด"

..เสียใจที่สุด.. โกรธที่สุด..

ไม่งั้นก็ได้แต่เก็บกด และทนเอาไว้ บอกตัวเองว่าไม่คิด ไม่เป็นไร

แต่ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต มันไม่มีใครยอมเจ็บอยู่แต่เรื่องเดิมๆ ทำให้เสียใจซ้ำๆ ได้นานนัก วันนึงมันก็กลับกลายเป็นกำแพงปกป้องเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจอีกต่อไป เมื่อหันมามองตัวเองอีกครั้งก็พบว่า ความรู้สึกมันก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

หลายครั้งที่คิดตั้งใจจะพูดออกไปให้เคลียร์ แต่พอเห็นหน้าเธอเข้าก็พูดไม่ออก เพราะไม่อยากทำให้เธอต้องเสียใจ ไม่อยากเห็นน้ำตา ไม่กล้ายอมรับว่าเราน่ะแหละ ทำให้เค้าเสียใจ ได้แต่หลอกตัวเองอยู่ว่าถ้าไม่พูดออกไป ปัญหามันคงไม่เกิด

บ้าชะมัดเลยนะ..

ทั้งที่ลึกๆ แล้วก็รู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงนั้นนานแล้ว แต่กลับแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น แล้วถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ
.....ใจร้ายจริงๆ ...... อย่างที่เธอพูดน่ะถูกที่สุด

บ่นมาซะยืดยาว แต่เนื้อหาก็เรื่องเดิมที่เข้มข้นขึ้นทุกวัน ก็ไม่รู้นะว่าตอนจบจะพลิกโผสักแค่ไหน แต่ถึงอย่างไร เราก็ยอมรับมันโดยดุษฏี

กำลังใจที่ให้ตัวเองในวันนี้ ก็มีแต่คำว่า ..คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน..

วันศุกร์, พฤษภาคม 04, 2550

อยาก "ระบาย" จังงง

หลายครั้งหลายหนที่มีความคิดแว๊บๆ เข้ามาในสมองระหว่างวัน ว่าจะเขียนเรื่องโน้นเรื่องนี้ มีหลายเรื่องเหลือเกินที่อยากจะระบายออกมาเป็นตัวหนังสือ แต่พอไม่มีโอกาสได้เขียนซะในตอนนั้นมันก็กลายเป็น "ของเก่า" ไป

พอมีเวลาว่างจะมานั่งนึกๆ ดูอีกทีมันก็ "บิวท์" อารมณ์ไม่ขึ้นซะแล้ว "จังหวะ" มันหายไป แม้คิดจะลองเปิด notepad มาลองขีดๆ เขียนๆ ดู เผื่อจะกระตุ้นความอยากขึ้นมาบ้าง ก็ได้แต่จดๆ จ้องๆ เพราะตั้งใจจะเขียนเข้าจริงๆ กลับเรียบเรียงอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะลำดับเรื่องราวก่อน-หลังอย่างไร พาลทำให้ไม่อยากคิดเอาเสียดื้อๆ

อีกอย่าง.. คงเพราะมีเรื่องกลุ้มๆ อยู่ในใจด้วยแหละ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย ก็เรื่องเดิมๆ ที่คอบรบกวนจิตใจมานาน แต่มันเปลี่ยนไปนิดนึงตรงที่ จากที่เคยจะตัดสินใจได้แล้ว แต่ก็มีเหตุทำให้ต้องนำกลับมาคิดทบทวนอีกที

สงสัยเราคงทำเวรทำกรรมไว้เยอะล่ะมั๊ง ถึงต้องมาชดใช้กันอย่างนี้ สุขน้อยหน่อย เศร้ามากหน่อย

บางทีอาจเป็นเหมือนที่เคยอ่านเจอใน fwd mail อันนึงว่าคนเรามาเจอกันก็เพราะทำกรรมไว้ด้วยกัน แต่จะเป็นกรรมดี หรือ กรรมไม่ดี ก็ไม่อาจรู้ได้ และชีวิตก็จะผูกพันกันไปจนกว่าจะหมดกรรม ซึ่งอาจจะเป็นเวลาไม่นานนัก หรืออาจจะตลอดชีวิตก็เป็นได้
แต่มันจะเป็นตลอดชีวิตใครกันนะ??

เฮ้อ...

คงเพราะลมฟ้าอากาศด้วยล่ะมั๊ง ที่ทำให้บรรยากาศมันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

ทั้งที่ตั้งใจจะมาเขียนเรื่องที่ทำอะไรไม่ดีแล้วมันยังค้างคาใจ กลายเป็นมาระบายเรื่องราวไม่เข้าท่าไปซะได้ แย่แฮะเรา

ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ขอสารภาพบาปซะหน่อยละกัน เผื่อมันจะช่วยทำให้จิตใจสูงขึ้นมาสักนิด ก็ไม่มีอะไรมากหรอก นอกจากลืมวันเกิดของคนสำคัญไปซะสนิทเลย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันยังคิดอยู่ว่าจะให้อะไรดี พอเจองานเยอะๆ เข้า เหนื่อยกาย เหนื่อยใจเลยพาลลืมไปเลยเพราะใจคิดแต่จะไปเที่ยว แย่จริงๆ เลย

มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่โทรไปคุยแล้วเสียงตึงๆ ใส่ เพิ่งจะรู้ตัวว่าลืมไปได้ เฮ้อ..จะไม่งอน ไม่น้อยใจได้ไง คนสำคัญลืมวันเกิดเนี่ย ก็พอจะเข้าใจจิตใจเค้าหรอกนะ งานนี้เราผิดเองเต็มๆ ไม่อยากแก้ตัวอะไร แค่อยากบอกว่ารู้สึกผิดอยู่ตลอดจนกระทั่งตอนนี้ก็เถอะ ..ไม่น่าเลยน้อเรา..

เรานี่เป็นคนรักที่ไม่ดีเท่าไหร่ ไม่สิ! ต้องบอกว่าไม่เคยทำตัวดีมากกว่า สงสารเค้าเหมือนกันที่เป็นคนดีมาตลอด แต่ดันมาเจอคนอย่างเราเข้าจนได้

จบเรื่องราวที่เขียนค้างตั้งแต่เมื่อวานแล้วดีกว่า เผื่อว่าวันนี้จะมีอะไรใหม่ๆ สดๆ มาเล่าบ้างเนอะ

วันพุธ, เมษายน 11, 2550

11 เมษา พรุ่งนี้ลาครับผม.. เกี่ยวกันไม๊เนี่ย??

ผ่านไปเกือบเดือนแล้วสิ หลังจากครั้งสุดท้ายที่เข้ามาอัป ^_^
ก็ไม่ใช่ว่าลืม หรือ ขี้เกียจหรอกนะ ที่หายๆ ไป แต่มันเป็นเพราะว่า "โคตรยุ่ง" เลยต่างหากล่ะ

ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัวที่แสนจะน่าปวดหัว ขนาดที่ว่าตีสองกว่าๆ ยังปลุกขึ้นมาคุยเนี่ย (ไม่โดนเองไม่รู้หรอกนะ ว่ามันสุดๆ แค่ไหน!!)
ได้นอนอีกทีตีสี่ มาตื่นตอน 6 โมงกว่า รู้สึกอย่างกะไม่ได้นอนทั้งคืน =_="

ไอ้เรื่องงานนี่ก็ใช่ย่อย..
หลังจากพายุลูกค้าสองกลุ่มที่มาบุกประเทศเรากลับไป ทิ้งไว้แต่ร่องรอยความเหนื่อยล้า งานที่ค้าง และค่าใช้จ่ายที่ต้องตามเคลียร์
พูดก็พูดเหอะนะ ไอ้ช่วงนั้นออฟฟิศก็ไม่ค่อยได้อยู่ เดินทางมันทั้งวัน ไม่เคยกลับก่อน 5 ทุ่มเล้ยจริงๆ (แต่มันก้อมันส์ดีอ่ะนะ เหอๆๆ)
เผลอแป๊ปๆ อ้าว เย็นแล้วเหรอ ..อีกเดี๋ยวก็ะ.. ดึกละ เวลาช่างเร็วโคตรๆ

ผ่านช่วงนั้นไป ก็ยังคงตกอยู่ในกลียุคของ Form D Vietnam เล่นเอากลับบ้านอย่างเนี้ยย ไม่เคยก่อนฟ้ามืด ซึ่งมันก็พอทน ได้แต่คิดว่าเมื่อไหร่จะเสร็จวะ หรือไม่ก็ผ่านไปวันๆ ช่างมัน ได้แค่ไหนแค่นั้น (ปลงแล้วอ่ะ)

ยังค่ะ... ชีวิตยังโหดร้ายยิ่งกว่านั้น
เมื่อดวงเมือง IOT เกิดกาลเปลี่ยนแปลงแผ่นดิน บรรดาชาวบ้านตาดำๆ ต่างเผชิญชะตากรรมอันน่าสงสาร
บ้านเรานอกจากไม่ได้ญาติมาเพิ่ม ยังมีงานมาเพิ่มอีก.. แค่นี้ก็สองทุ่มทุกวันแล้ว แล้วต่อไปนี้มันจะถึงเช้าไหมวะเนี่ย
ส่วนบ้านอื่น ก็บ้านแตกไปตามๆ กัน บ้างก็มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเหมือนสามล้อถูกหวยรวยข้ามวัน บ้างก็ซวยซ้ำซวยซ้อน ต้องหมดอำนาจโดนยึดเมืองกลายเป็นเชลยศึก (เล่นเอาลาป่วยไปสองวัน ..เลยไม่รู้ว่าการเมือง หรือป่วยจริงกันแน่!!)

เอาเหอะอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ไป คิดแค่นี้ละกัน สำหรับตอนนี้
อันที่จริงอ่ะคิดจะไปนานแล้วแหละ แต่มันไม่มีมครต้องการ!!
เศร้าเว้ยยย เกิดมาไม่ฉลาดทำไงได้เนอะ..

วันศุกร์, มีนาคม 23, 2550

18 มีนา ครบรอบ 28 ปีแล้วสิเรา

เผลอแป๊ปเดียวผ่านวันเกิดมาซะแล้ว
เมื่อสัปดาห์ก่อนยังคิดอยู่เลยว่า วันเกิดปีนี้จะมีอะไรดีๆให้ตัวเองบ้างไหม
แต่เพราะงานยุ่งๆ เรื่องส่วนตัววุ่นวาย กว่าจะรู้สึกตัวอีกที อ้าวว..ผ่านไปแล้วหรือนี่ 18 มีนา..

ตอนนี้ก็ 28 แล้วสินะเรา
แก่ขึ้นอีกปีละ แต่ทำไมยังรู้สึกเหมือนว่ายังไม่โตเท่าไหร่เลย
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้ว่าวัยแห่งอิสระกำลังจะหมดไป แต่ทำไมยังไม่ทำอะไรให้มันเรียบร้อยสักทีนะ
ยังมีแต่เรื่องวุ่นวายไม่พ้นแต่ละวัน ที่จริงมันก็เรื่องเดิมๆ ที่ไม่ลงเอยเสียที
อยากจะจบ.. แต่ก็ไม่อยากจบ.. ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

ทั้งที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ชัดเจนขนาดนี้
มองไปในอนาคตเห็นใคร..เราก็รู้
อยากมีใครอยู่เคียงข้าง..ก็เข้าใจ
เห็นสถานที่ๆ อยากจะไป แล้วนึกถึงใคร..ภาพใครที่ปรากฏขึ้นมา
แล้วนี่ชั้นกำลังทำอะไรอยู่กันนะ

จะยื้อไว้เพื่ออะไร??
คำถามนี้ดังก้องอยู่ในหูตลอด

ไม่ได้อยากยื้อเลย แค่อยากให้มิตรภาพดีๆ ยังคงอยู่
แต่เราซึ่งเป็นคนเปลี่ยนใจ คงจะคิดไปเองฝ่ายเดียว ว่ามันง่าย
แต่เค้าผู้ยึดมั่นกับคำพูดของเรา ร้องไห้ปานจะขาดใจ พูดอยู่คำเดียวว่าคงไม่มีวันเปลี่ยนใจไปจากเรา

ถ้าอย่างนั้น ต้องบอกเลิกหรือ??
ในเมื่อมันไม่ลงตัว ห่างกันไปจะดีกว่าไหม??
ทำไมต้องรอให้เราพูดด้วยเล่า?? เพราะเราเป็นคนเริ่มงั้นหรือ??
ทำไมต้องมาทั้งขู่ทั้งปลอบด้วยว่า "เลือกมานะ"
..เหนื่อยใจจังเลย..

วันศุกร์, มีนาคม 09, 2550

หนี (รัก) ร้อนไปทะเลกันดีกว่า..

วันนี้ว่างๆ เลยมานั่งอัปเดตกระทู้ใน 1000tips อย่างละเอียดสักที คงเพราะไม่ได้เข้ามาอ่านอย่างจริงจังเสียนาน เลยเห็นว่ามีอะไรๆ น่าสนใจอยู่เยอะทีเดียว ยิ่งเดี๋ยวนี้เริ่มข้ามฟากจาก สวนลุมฯ ไป blueplanet ด้วยแล้วยิ่งมีอะไรที่น่าสนใจให้อ่านเยอะไปใหญ่

ใน blueplanet มีแต่เรื่องของวันพักผ่อนของคนอื่นๆ เห็น review / รูปภาพที่พวกเค้าถ่ายมาฝากอย่างสวย ก็ยิ่งมีกิเลสอยากไปเที่ยวเข้าไปใหญ่เลย ทั้งที่จริงก็ตั้งใจแล้วล่ะว่างานหายยุ่งเมื่อไหร่จะหนีร้อนกรุงเทพไปเพิ่มพลังให้ตัวเองอยู่เหมือนกัน (หนีไปร้อนที่ ตจว.แทน 555)เฮ้อ..ที่นั่นก็ดี..ที่นี่ก็อยากไป.. เมื่อไหร่จะมีวันนั้นสักทีน้อ..

มีเพื่อนที่ทำงานคนหนึ่ง เป็นคนที่ฝักใฝ่ในการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เรียกว่ามันมีที่ไปได้ทุกเดือน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ตามติดกิจกรรมของเค้าเท่าไหร่ เพียงแค่แอบเห็นภาพถ่ายที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็อดชื่นชมบรรยากาศไปด้วยไม่ได้ทุกทีสิ น่าอิจฉาจังเลยนะดูเค้าใช้ชีวิตคุ้มดี เราเองก็อยากทำอย่างนั้นบ้างเหมือนกัน (ตราบเท่าที่สุขภาพกาย-ใจ-และกระเป๋าตังค์อำนวยอ่ะนะ)

การได้ไปเปิดหูเปิดตาในโลกกว้างมันก็มีเสน่ห์ของมันอยู่แล้ว ยิ่งถ้าไปกับคนที่อยากไปด้วยมันก็ยิ่งมีความสุขมากเป็นพิเศษ ท่องเที่ยวด้วยกัน แชร์ประสบการณ์กัน สร้างความทรงจำที่ดีระหว่างกันไว้ให้สุขใจเวลานึกถึง
..มันดีออกจะตายไปเนอะ..

ท่ามกลางความสุข ก็มีแว่บนึงของความคิดไม่ดีๆ ที่ผุดขึ้นมาว่า หากว่าวันหนึ่งที่เรื่องน่าตื่นเต้นหรือท้าทายในวันนี้ มันกลายเป็นความเคยชินไปซะแล้ว ความรู้สึกที่มีให้กันมันจะเปลี่ยนไปไหม??

สักวันหนึ่งเค้าจะเบื่อเราหรือเปล่าหนอ..
อะไรที่มันได้มาง่ายๆ มันจะคงอยู่ไปได้นานสักเท่าไหร่..
คิดแล้วก็อดที่จะใจหายและเสียใจไม่ได้ แต่ทำไงได้ล่ะ เราก็เลือกที่จะเป็นอย่างนี้ในวันนี้เองนี่นา
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าก็คงต้องยอมรับมันด้วยความเต็มใจ
ได้แต่หวังว่าความทรงจำดีๆ ร่วมกันมันคงทำให้เรารักกันตลอดไปนะ

ว่าแล้วคิดถึงวันนั้นที่พังงาจังเลย
ผ่านมาหลายปีแล้วก็จริง แต่เรายังรู้สึกเหมือนกับว่ามันเพิ่งไม่นานนี้เอง..

วันพุธ, มีนาคม 07, 2550

พักยก หลังพายุ FoRm D

ช่วงนี้เป็นช่วงสงบครั้งแรกของปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงาน
เหมือนจะเป็นจังหวะให้พักหายใจบ้าง หลังจากที่กรำศึกหนักจากรอบด้านตลอดช่วงที่ผ่านมา
ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตจะเข้าที่เข้าทางแล้วหรอกนะ เพียงแต่แค่เงียบๆ พอให้ได้คลายเครียดไปสักหน่อย
แอบคิดเล็กๆ เหมือนกันว่า เครียดไปซะทีเดียวเลยดีไหม เสร็จแล้วจะได้จบๆ ไปซะเลย
ค้างคาก็เหนื่อยใจ เหนื่อยกาย ทรมาณชะมัดเลย

เรื่องงาน.. หลังจากต้องเข้ามาทำงานวันหยุดเมื่อสัปดาห์ก่อน เหมือนวันนี้จะเข้าสู่ชีวิตปกติอีกครั้ง
รอ "มรสุมแขก" ที่กำลังจะพัดเข้ามาเยือนเกือบตลอดสัปดาห์หน้าเลยอ่ะ
คิดว่าคงได้วิ่ง..วิ่ง..วิ่ง.. อีกเยอะล่ะคราวนี้ บทเรียนจากปีก่อนมีเยอะ แต่ก็ดี..เหนื่อยดี..
นี่ถ้าเรื่องส่วนตัวมันเครียดจัดๆ เจองานหนักๆ เข้าไปท่าจะดีแฮะ จะได้ไม่ต้องคิดมาก
กลัวเหมือนกันว่ายิ่งสร่างๆ ซาๆ อย่างนี้เดี๋ยวจะกลายเป็นใจอ่อนไปซะอีก

เรื่องส่วนตัว.. หลังจากที่โดนไซโคฯ จนอ้วกมาแล้ว ไม่นับกินไม่ได้นอนไม่หลับอีกหลายคืน
ช่วงนี้เหมือนหยุดพักไปสัก 2-3 วัน เพราะไม่ได้เจอกัน
ก็ไม่รู้นะว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะมีเรื่องอีกไหมหว่า กลัวจะโดนเหน็บ-แดก-ดัน จนสติแตกน่ะสิ
พูดก็พูดเถอะนะ เครียดเพราะงานยังพอทน เครียดเพราะใจนี่มันแย่จริงๆ เฮ้อ..
ดันเกิดเป็นคนไม่เข้มแข็งก็อย่างนี้แหละ เจ็บนานน...น
สงสาร แต่จะให้ทำไงล่ะน้อ นอกจากให้เวลาผ่านไปเพื่อทำใจมันทั้งสองฝ่าย

วันศุกร์, มีนาคม 02, 2550

หรือวันนี้ คือ วันสุดท้ายของความรักครั้งแรก..

มีคำถามหนึ่งที่ทำให้เราต้องหยุดคิด "คุณเคยเลิกรักใครไหม ?"
ตามมาด้วยประโยคที่ว่า "ฉันอาจไปจากที่นี่ก็ได้...ถ้าฉันหลงรักมันเข้าแล้วจริง ๆ"
ประโยคจาก "เพื่อนสนิท" นั่นเอง

มีหลายความคิดเห็นที่อ่านแล้วนึกสนใจในคำตอบนั้น..ถ้ารักแล้วทำไมถึงต้องจากไป??

บางทีการรักใครมากๆ มันก็น่ากลัว เดินออกมาตอนที่ความรักมันยังสวยงามมันก็ดีนะ
อย่างน้อยสิ่งที่จดจำจะได้มีแต่ภาพดีๆ


อยากเก็บภาพที่สวยงามนั้นไว้นาน ๆ
บางทีถ้าเข้าไปแตะต้องมันก็อาจจะสูญสลายไปก็ได้
เคยมีหนังสือเล่มนึง เปรียบเทียบ เงาของดวงจันทร์ ที่สะท้อนในน้ำว่า สวยงาม แต่มีไว้ให้เฝ้ามองเท่านั้น
เพราะถ้าเอื้อมมือไปสัมผัส น้ำก็สั่นไหวจนกระทั่ง มองไม่เห็นความสวยงามของพระจันทร์อีก
ของบางอย่างจึง มีไว้เฝ้ามองเพียงเท่านั้น


ไม่เคยเลิกรัก เพราะไม่แน่ใจว่าเคยรักใครหรือเปล่า ยังตอบคำถามไม่ได้สักทีว่า ขนาดไหนถึงเรียกว่ารัก...
แต่มั่นใจอย่างหนึ่งว่า ความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกันแน่ๆ
เหมือนกินข้าว บางคนกินครึ่งจานก้อิ่มแล้ว บางคนซัดไป 3 จาน

เป็นคนกินจุมั้งเลยไปไม่ถึงจุดนั้นซักที...
หรือจะวัดความรู้สึกอย่างที่ แจ๊ค นิโคลสัน บอกกับเฮเลน ฮันท์
"คุณทำให้ผมอยากเป็นผู้ชายที่ดีกว่านี้"


ไม่แน่ใจว่าเคยรักหรือเปล่า เหรอครับ ? เศร้านะครับ..
"รัก - กินข้าว "
ถ้าไม่รู้ตัวว่า กำลังกินอยู่หรือเปล่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรนะ ว่า "อิ่มแล้ว"
ปล.ขอบ่น เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่ารักเรามาก แต่อยู่ด้วยกันไม่เคยมีความสุข หาเรื่องทะเลาะตลอด แต่เรื่องเดิมๆ
หึงแบบไร้เหตุผลแล้วชอบบอกว่า "เพราะรักนะ" จน โอ้ย..รักแบบนี้ ก็ไม่ไหว ทางใครทางมันดีกว่า..


สำหรับเราแล้ว เราไม่เคยเลิกรักใครได้เลยสักที
ไม่เคยลืมเลยว่าเคยรักใคร และเคยรู้สึกอย่างไรกับใครบ้าง
ทุกอย่างยังคงอยู่เสมอ เหมือนกับวันนั้นยังคงเป็นวันนี้
เพียงแต่ มันไม่สามารถแสดงออกถึงความคิดภายในใจได้เท่านั้นเอง
เพราะเราไม่รู้นี่นาว่าคนอื่น เค้าจะคิดอย่างที่เราคิดไหม

คำถามที่ว่าถ้ารักแล้วทำไมต้องจากไป ในวันนี้เราเข้าใจแล้วล่ะว่าเพราะอะไร
เพราะแค่ "รัก" มันอาจจะไม่ใช่ทุกสิ่งก็ได้
คนเราจะคบกันมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำว่ารักเพียงคำเดียว แต่มันยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกเยอะ
เพียงแต่ที่เรารู้สึกว่ามันเป็นเหตุผลของทุกสิ่งก็เพราะมันเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อเราได้มากที่สุด
แต่สุดท้ายแล้ว ..เพราะรักคงยังไม่พอ..
และถึงแม้ว่าจะรักกัน บางทีคนรักกันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเสมอไป
อยู่กันห่างๆ อาจจะมองเห็นข้อดีของกันและกันมากกว่าก็ได้

เมื่อมองไม่เห็นทางร่วมกันแล้ว
การจากกันไปทั้งที่ยังรักก็อาจจะดีกว่า
อย่างน้อยก็ยังมีภาพความทรงจำดีๆ อยู่ในใจ

เฮ้อ..

ปวดหัวจังเลย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
สับสนไปหมดจนไม่รู้จะจับต้นชนปลายตรงไหน
ไม่รู้ว่าอะไรถูก-ผิด
ไม่รู้ว่าอะไรควรทำ-ไม่ควรทำ

ที่ยังคงตอบตัวเองได้ก็คือ คิดถึงและเป็นห่วงเสมอ
พอนึกถึงทีไร ภาพเหตการณ์ดีๆ ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน
ก็จะปรากฏขึ้นมา ทำให้รู้สึกโหยหา
นี่สินะ..ที่เค้าเรียกกันว่า "ความผูกพัน"

ใจมันหวิว.. เมื่อคิดว่าต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว
ที่ผ่านมาเป็นเพียงความทรงจำจางๆ เหมือนกับเป็นฝันที่คล้ายความจริง
และทุกอย่างก็จบลงเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา
คล้ายๆ ว่าเคยมีอยู่ แต่ปัจจุบันนี้จะไม่มีอีกแล้ว

5ปี..เราคงหลับไปนานเลยสินะ
ถึงเวลาหรือยังที่ควรจะต้องตื่นเสียที??

วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 27, 2550

Welcome to "สัปดาห์นรก!!!"

ช่วงนี้ท่าทางดวงงานจะพุ่งอย่างแรง แต่ไม่รู้จะพุ่งขึ้นหรือพุ่งลง รู้แต่ว่าทำไมมันยุ่งอย่างงี้ฟระ!!!
วันๆ ได้แต่ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ทุกอย่างก็ช่างเร่งไปซะหมด เหนื่อยเว้ยยยย...
แป๊ปเดียว อ้าว 5 โมงแล้วนี่หว่า
จะอยู่ทำโอ ก็ยังขี้เกียจ บางทีเรื่องเงินกับเวลาพักผ่อนมันก็เทียบกันไมได้เลยนะ
ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า

เดี๋ยวเถอะว้า...
ไว้เสร็จพายุลูกนี้เมื่อไหร่จะคิดโปรแกรมหนีเที่ยวทะเลสัก 2-3 วันดีกว่า อยากจะหลีกหนีสังคม เพื่อเก็บแรงมาสู้ใหม่
แต่ดูท่าความฝันจะยังอีกนานทีเดียว..

มองไปข้างหน้ากว่าจะเสร็จเอกสารนรกพวกนี้ได้ ก็ต้องต่อด้วยบรรดาแขกมาเลย์อีก 2 กรุ๊ปใหญ่ๆ
เฮ้ออออ ท่าจะเหนื่อยจนถึงเมษาเลยล่ะมั๊งเนี่ยเรา
อากาศก็ยิ่งร้อนๆ ยิ่งจะบ้าไปกันใหญ่

ไปละ ไปทำงานดีก่า

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 16, 2550

ความพยายาม กับ ความรัก

หากจะรักแล้วต้องใช้ความพยายามที่จะรัก
วันหนึ่งเมื่อความพยายามหมดลง รักนั้นก็คงจะจืดจางลงเช่นกัน
แล้วรักนั้นจะยังเหลืออะไรนอกจากความเหนื่อยล้าและคราบน้ำตา

มีเพื่อนรุ่นพี่เคยพูดกับเราถึงคนรักเก่าที่เลิกกันไปไม่นานว่า
"พี่อดคิดไม่ได้ว่า ตอนที่ 'คนนั้น' คบกับพี่ เค้าคงไม่ได้พยายามที่จะรักพี่หรอกนะ เพราะการพยายามที่จะรักใครมันช่างเหนื่อยเหลือเกิน.."

คำพูดนั้นติดหูเราอยู่ตลอด จนทำให้ต้องย้อนกลับมามองตัวเอง แล้วเราล่ะ..
เราเคยพยายามที่จะรักใครหรือเปล่า?
เราฝืนทำอะไรที่มันไม่ใช่ตัวเราอยู่ไหม?
เราหลอกตัวเองอยู่หรือเปล่าว่าเรารักเค้า?

..จนถึงวันนี้..
แน่ใจแล้วหรือว่าสิ่งที่เราคิดและเข้าใจว่ามันคือความรัก
แท้จริงแล้วมันคือความรักจริงๆ หรือ เป็นแค่ความผูกพันที่ไม่อยากสูญเสียไป..

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 15, 2550

15 กุมภาพันธ์ ..หนึ่งวันหลังวาเลนไทน์..

ตั้งใจไว้ว่าจะมาอัปบล็อกฉลองวันแห่งความรัก แต่แล้วก็มีเหตุให้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้
ก็งานน่ะสิ ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร มากองตูมอยู่บนโต๊ะ ทำไปก็เศร้าไป เมื่อไหร่มันจะหมดซะที (วะ)
ยิ่งทำไปก็เหมือนมันไม่ลดลงเลย ไอ้ช่วงว่างก็ว่างซะไม่มีอะไรทำ ไอ้เวลายุ่งนี่ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรก่อนดี

ตกเย็นได้เวลาเลิกงานละ แต่งานยังไม่เสร็จ T_T
และถึงทำจนดึกก็น่าจะยังไม่เสร็จอยู่ดี เห็นทีวันนี้ไม่ต้องไปไหนกันล่ะ
หันไปถามท่านหัวหน้า "กลับก่อนได้ป่ะพี่ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันนะ.."

แหม..14 กุมภา นะเว้ยย ใจน่ะมันไปฉลองตั้งแต่เช้าแล้ว ขอตัวตามไปสักหน่อยเหอะน่า
ก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก นอกจาก กินๆๆ คุยๆๆ แล้วก็กลับบ้านไปกินข้าวกะแม่ต่อ 555

ถึงมันจะดูเรียบง่ายไปนิดเมื่อคิดว่ามันเป็นวันพิเศษ
แต่อย่างน้อยในรอบปีที่ผ่านมาก็มีความคืบหน้าไปเยอะล่ะนะ
หรือว่า..ไม่จริง??

ช้าไปหนึ่งวัน แต่คงไม่ช้าเกินไปที่จะให้ดอกไม้อีกสักช่อเนอะ

สุขสันต์วันแห่งความรักนะคะ ..

วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 02, 2550

Life and Chocolate Box

"Life was like a box of chocolates.
You never know what you're gonna get until you open it"
ประโยคจากหนังเรื่อง Forest Gump

ไม่รู้ทำไมประโยคนี้ติดใจเราเหลือเกิน .. ไม่ใช่เพราะมันออกจากปาก Tom Hank คนต๊องใน Forest Gump แน่ๆ
ก็คงจะจริงอย่างที่เค้าพูดแหละ เราไม่มีทางที่จะรู้ว่าในกล่องจะมีช็อคโกแลตแบบไหน จนกว่าที่เราจะเปิดมันออกมา และหยิบมันเข้าปาก!
(ไม่นับพวกที่พลิกหลังกล่องดูก่อนจะเปิดนะ เพราะเห็นว่าเดี๋ยวนี้มีแบบที่ระบุลักษณะและรสชาติ รวมถึงสิ่งที่เป็นไส้อยู่ด้านในด้วยนี่ เรียกว่ากินกันแบบไม่ต้องลุ้นมากนัก Right to the point อยากกินแบบไหนก็เลือกเอาก่อนจะหยิบได้เลย)

ชีวิตก็เหมือนกัน เราไม่มีทางรู้อนาคตได้ว่าจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่ "วันนั้น" ยังมาไม่ถึง แต่รสชาติชีวิตมันก็อยู่ตรงนี้แหละนะ ถ้าเรารู้ว่าต่อไปชีวิตจะเป็นยังไง มันก็คงไม่สนุกที่จะมีชีวิตอยู่ ชีวิตที่ดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างราบเรียบจะมีอะไรให้น่าจดจำกันล่ะ? ล้มลุกคลุกคลานซะบ้างชีวิตจะได้มีสีสัน มีประสบการณ์ทั้งดีและร้ายไว้เป็นเหมือนเครื่องย้ำเตือนความทรงจำว่า เราเคยผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาด้วยความรู้สึกอย่างไร

พูดก็พูดเถอะ จากประสบการณ์ส่วนตัว เวลาเห็นช็อคโกแลต (และขนมอื่นๆ ที่หน้าตาดี) รสชาติมักจะไม่ได้เรื่องเสมอ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เวลาเลือกขนมมักจะหยิบอันที่สีสันสวยสดก่อน และเกือบทุกครั้งที่มักจะคิดเข้าข้างตัวเองไปว่าหน้าตาดีแล้วมันก็คงอร่อย แต่ขอโทษเถอะ! ผิดถนัดเลย ยังคงถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังคงยึดแนวทางเดิม สุภาษิตไทยจะจริงก็ตรงนี้ล่ะ "สวยแต่รูป.. จูบไม่หอม"

แล้วเราก็ไม่เคยเข็ดอีกเช่นกัน ยังคงตกเป็นเหยื่อรูปลักษณ์ภายนอก และ packaging อยู่ร่ำไป..
แหม.. ใครๆ ก็ชอบของสวยงามหน้าตาดีทั้งนั้น จริงมั๊ยล่ะ!!

วันอังคาร, มกราคม 23, 2550

Match ประวัติศาสตร์!!

กลับมาแล้วคร้าบบบ มีเรื่องจะเล่าให้ฟังล่ะ

ก่อนอื่นที่ช่วงนี้หายๆ ไป พอดีกำลังวุ่นๆ อยู่กับชีวิตส่วนตัวที่หาทางออกไม่ได้ก็เลยไม่ค่อยได้มาอัปบล็อกเท่าไหร่
อีกอย่างคือมันไม่มีเรื่องอะไรน่าสนใจไปกว่าความหดหู่อย่างไร้สาเหตุด้วยแหละ

แต่คราวนี้มาพร้อมกับบทเรียนใหม่ของชีวิต กับการเป็น "ไอ้เป๋" (ชั่วคราว)
เรื่องมันเกิดจากฟุตบอลกระชับมิตร (รึเปล่าวะ??) ของสาวๆ ด้วยความสนุกสนานเลยลืมสังขารไปชั่วขณะ
สติกลับมาเมื่อมีเสียง "กึก" เกิดขึ้นระหว่างการกระโดดหลบดงตีนชาวบ้าน เล่นเอาเสียววาบบ..บ ซวยแล้วตรู เจ็บแน่ๆ
ไม่กี่วินาทีต่อมาพอหายตกใจ ความเจ็บเข้ามาแทนที่ T_T เลยต้องกระโดดเหยงๆ ออกจากเกมส์ด้วยความเสียดาย

ออกมานั่งแป๊ปเดียวเท่านั้น บวมมมม.. และมันยิ่งบวมหนักขึ้นเมื่อมีเค้าท์เตอร์เพนจากมือใครสักคนมาแปะลงไป แทนที่จะดีขึ้นกลับทำให้เลือดคั่งมากกว่าเดิมซะอีก ซวยไป..ครับท่าน ได้บทเรียนมาอีกอย่างนึงว่า เค้าให้ประคบเย็นก่อน เหอๆๆ

กลับบ้านไปพร้อมกับขาเดี้ยงๆ กับความรู้สึกเศร้าๆ ..กลับไปโดนด่าแน่ตรู..

ตอนนั้นไม่ได้คิดว่ามันจะหนัก แต่ก็รู้แหละว่ามันบวมมากๆ ไปสำนึกได้อีกทีก็ตอนดึกๆ ปีนลงจากเตียงมาเอาของ กลับขึ้นไปอีกที ปวด....ดดดดเจงๆ T_T ทำไงดีวะเนี่ย??

เมื่อวานเลยไปหาหมอ กว่าจะเรียบร้อยก็บ่ายกว่าๆ เหนื่อยมาก
เสียตังค์ไป 179 บาท กลับมาพร้อมยา และเฝือกอ่อน 1 อัน T_T

ทำงานไม่ถนัดเลยง่ะ เฮ้ออออ

วันจันทร์, มกราคม 08, 2550

สายไปไหม ถ้าจะบอกว่าขอโทษ และ ขอบคุณ

ชีวิตคืออะไรที่ไม่แน่นอนจริงๆ
วันนี้เราหัวเราะ แต่ก็ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเราจะยังคงหัวเราะอยู่ หรือ เราจะร้องไห้กันแน่

ช่วงนี้สับสนใจชีวิตที่สุด ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ แล้วควรจะต้องทำอะไรต่อไป
รู้แต่ว่าสภาพจิตไม่ค่อยปกตินัก และมันก็ส่งผลถึงสุขภาพกายด้วยเช่นกัน
เหมือนรู้สึกเหนื่อยกับอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือ เรื่องส่วนตัว

ควร หรือ ไม่ควร?? ถูก หรือ ผิด?? ดี หรือ ไม่ดี??
บางทีมันก็เป็นเรื่องยากที่จะตัดสิน โดยเฉพาะเมื่อความรู้สึกมันแปรผกผันกับสิ่งที่ควรทำ
เกลียดตัวเองที่เป็นคนขี้ขลาด และเห็นแก่ตัว ไม่ยอมรับผลในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
ไม่เคยรู้สึกแย่กับตัวเองอย่างนี้มาก่อน

ไม่รู้ว่าคำขอโทษนี้จะส่งถึงคนที่ต้องเจ็บปวดเพราะเราหรือไม่ อยากขอโทษทุกคนกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ แต่ผลของการกระทำนั้นทำให้คนที่เรารัก และคนที่รักเราต้องเจ็บปวด ขอโทษจริงๆ ค่ะ

แม้จะร้องไห้มา 3 วันแล้ว ก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้สักที ว่าต่อไปนี้เราควรทำอย่างไร???

วันพฤหัสบดี, มกราคม 04, 2550

สวัสดีปี "หมู" เน้อ!!!!

สวัสดีปีใหม่ค่ะ!!!
มาทักทายวันแรกของการทำงาน หยุดไปหลายวันเล่นเอาขี้เกียจไปเลยเนอะอย่างว่าล่ะเวลาดีๆ มักผ่านไปเร็วเสมอเนอะ เผลอแป๊ปเดียวผ่านไปแล้ว 5 วัน ยังหยุดไม่พอเลยอ่ะ กลับมาเริ่มต้นปีใหม่ด้วยวิถีชีวิตแบบเดิมๆ แต่ปีนี้คิดว่าจะทำอะไรใหม่ๆ ให้กับตัวเองบ้าง อย่างเช่น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น จะพยายามทำให้ตัวเอง stable มากขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ ขอให้ปีนี้เป็นอีกปีที่ดีสำหรับชีวิตนะ

เริ่มต้นปีก็มีแต่คำถามเดิมๆ วนเข้ามา "เมื่อไหร่แต่ง?"
-_-" นี่เค้าไม่มีอะไรที่น่าจะถามกันรึไงน้อ??
โดนทีไรก็ "จึ้ก" ทุกที นี่ชั้นอยู่ในวัยมีครอบครัวแล้วเหรอเนี่ย
เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นอ่ะค่ะ อยากแต่งเหมือนกันล่ะ 555

เรื่องงานก็เหมือนกัน คิดๆ แล้วว่าจะเริ่มหาอย่างจริงจังเสียที คงได้เวลาที่จะต้องกลับออกไปดิ้นรนซะบ้างดีกว่าเนอะ.. อยู่ที่นี่สุขสบายก็จริง แต่มันก็ไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร เทียบกับทางข้างหน้าที่แม้ยังมองไม่เห็น แต่ก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ แล้วอ่ะ อยากออกไปลองให้รู้ซะที อาจจะต้องล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง แต่ก็ไม่สายที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งไม่ใช่หรือ?

"ก้อชีวิตยังไม่หยุด จะให้ดีที่สุดได้อย่างไร" จริงไหม??