วันจันทร์, ธันวาคม 28, 2552
ภูมิใจเถอะที่วันนี้เรายังดีกว่าคนอื่นตั้งมากมาย
ความรักของเราเกิดจากความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน ผ่านช่วงเวลาที่ยาวนานจนค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวเป็นความรักที่มีพื้นฐานจากความผูกพัน
การที่เราได้รู้จักและเรียนรู้กัน จนสามารถยอมรับในข้อดีและข้อเสียของกันและกัน
แล้วมองเห็นความดีในตัวตนที่แท้จริงได้ต่างหากที่ทำให้ความรักดำรงอยู่ได้จนทุกวันนี้
แม้ว่า...คู่ของเราจะไม่หวานซึ้งเหมือนคู่อื่นๆ ที่เราเคยอิจฉา
แม้ว่า...ที่ผ่านมาและในวันนี้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างที่ใจเราต้องการ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้สึกพิเศษที่รับรู้ได้ระหว่างเราสองคนนั้นมั่นคงและยาวนานกว่าใครๆ
หลายวันที่ผ่านมาฟุ้งซ่านไปพอสมควรกับความน้อยใจในตัวคนรักที่แม้จะดูแลเอาใจใส่อย่างเสมอต้นเสมอปลายตลอดมา แต่การที่ความหวาน ความทะเล้นน่ารักที่ดูเหมือนจะลดน้อยลงไปกว่าเดิม ทำให้อดคิดเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้ รวมกับความคิดฝังหัวว่าเราเป็นฝ่ายรักเค้าก่อน และเป็นคนที่เอ่ยปากขอ second chance จากเค้า ในวันที่เค้าเข้มแข็งพอที่จะอยู่ได้โดยไม่มีเรา ก็เลยเป็นเหตุให้คิดน้อยใจไปต่างๆ นานาว่าเค้าเปลี่ยนไปจากคนเดิมที่เคยรักเรามากจนอยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน กลายเป็นคนที่กลับมาคบกันเพราะสงสารหรือด้วยความผูกพันมากกว่าจะรักกันเหมือนเดิม
นึกประหลาดตัวเองที่จนแล้วจนรอดก็ได้แต่คิด ไม่สามารถจะทำอะไรที่เป็นการประชดได้ ไม่ใช่เพราะกลัวจะทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวด แต่ยังแอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่นิดๆ ว่าเค้ายังแคร์เราอยู่บ้าง แม้จะน้อยใจอย่างไรก็ยังไม่อยากให้เค้าผิดหวังในตัวเรา ในเมื่อจิตใจส่วนลึกยังอยากเป็นคนรักที่ดีให้เค้าภูมิใจ
มานั่งย้อนคิดดูอีกที เรายังโชคดีกว่าคนอื่นอีกมากมาย ที่คนรักของเราคนนี้ทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่าเสมอว่าเค้าไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทาง ตั้งแต่รู้จักกันมาจนถึงวันนี้ เค้าเสมอต้นเสมอปลายทั้งความสุภาพอ่อนโยน และการกระทำ
เพียงแค่นี้ยังไม่พออีกหรือ สำหรับการเป็นคนรักที่ดีที่น่าภูมิใจ??
สุดท้ายก็ได้แต่ถามประโยคเดิมซ้ำๆ เพื่อย้ำตัวเองอีกครั้งก่อนจบความคิดว่า
"การที่เราคิดแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะเรากำลังหลงจึงมองเห็นแต่ข้อดีของเค้าหรอกนะ?"
วันศุกร์, ธันวาคม 11, 2552
3 ปี คนเราจะเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน?
ว่าไงดีล่ะ..
โดยทั่วๆ ไปความรักวันนี้ก็เหมือนจะดีทุกอย่าง มีคนรักที่เป็นคนดี ดูแลเอาใจใส่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย และไม่คิดนอกใจแต่ทำไมนะ ถึงมีความรู้สึกว่ามันแห้งแล้งอย่างไรชอบกล
..In The Middle of Nowhere ..
ประมาณนั้นเลยมั๊งความรู้สึกสับสนที่ไม่รู้จะเดินไปทางไหน no sign to lead the way .. no inspiration แต่ก็ไม่ใช่ dead end
เวลาเศร้าๆ เซ็งๆ มันอดไม่ได้ที่จะกลับไปอ่าน e-mail เก่าๆ อีกครั้ง ประโยคสนทนาในช่วงเวลาที่ดอกรักผลิบาน อ่านเท่าไหร่มันก็รู้สึกดีทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นประโยคสนทนาที่เต็มไปด้วยความกระตือรือล้น แสดงออกถึงเจตนาภายในใจอย่างแรงกล้าและมุ่งมั่นที่จะได้มา
แม้ว่าทุกครั้งที่อ่านตัวเองก็จะต้องรู้สึกละอายกับสิ่งที่ทำไป ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกลึกๆ ของใบหน้าระรื่นและคำตอบแบบไม่คิดอะไร ทั้งที่ในใจก็รู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่ เจ็บทุกครั้งที่ต้องทำหน้าตาย เพราะไม่พร้อมที่จะตอบรับความรักได้อย่างชัดเจนได้แต่คิดในใจเองว่า "สักวันหนึ่ง..เมื่อถึงวันนั้น..เราจะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาที่สุด"หวังไว้ว่าอยากจะเห็นสีหน้าและแววตาของเค้ายามที่ได้รู้ว่าเราก็รักเค้ามากเช่นกัน
ในวันนี้ที่เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเสียทีว่าเค้าคือคนรักเพียงคนเดียว แต่ทำไมนะ.. มันถึงรู้สึกว่าสิ่งที่ได้รับกลับมามันไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว
ส่วนหนึ่งคงเพราะวัยที่เปลี่ยนไป ผู้ชายอายุใกล้เลข 4 จุดหมายในชีวิตกลายเป็นงานและความก้าวหน้าในอนาคต เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เป็นเพียงส่วนประกอบอย่างหนึ่งเป็นสีสันให้คลายความเครียดในวันที่ต้องการพักผ่อน แตกต่างกับผู้หญิงวัย 30 นั้นยังคงต้องการชายคนรักคนเดิม คนที่จะมาเติมเต็มความสัมพันธ์ที่ขาดหายด้วยชีวิตของเราสองคน
คงจริงอย่างที่เค้าว่ากันไว้ของใดที่ยังไม่ได้มา มันช่างหอมหวลเกินจะทน คนทั้งหลายถึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะได้ครอบครองมัน แต่เมื่อใดก็ตามที่ของนั้นตกเป็นของเราแล้ว ก็จะไม่มีกิเลสในความอยากอีกต่อไป ถึงไม่หมดค่าแต่ก็ไร้ความน่าสนใจ
...สิ่งที่เคยไขว่คว้ายามไกล เมื่ออยู่ในมือมันก็กลายเป็นของธรรมดา...
สิงหาคม 2006..
ช่วงเวลาที่ความรักหอมหวาน ต่างคนต่างโหยหาในกันและกัน รอวันที่จะได้อยู่ร่วมกัน ทั้งที่ในวันนั้นยังเป็นแค่คนรักที่ห่างไกล
1,000 กว่าวันผ่านไป
ธันวาคม 2009
ปัจจุบันกับสถานภาพคนรัก ในวันนี้ที่ใครๆ ก็รับรู้ว่าเราเป็นแฟนกัน แต่กลับรู้สึกถึงอารมณ์ความรู้สึกของกันและกันได้น้อยลงความเคยชินทำให้ความรักจางลงบ้างไหมนะ..
เขียนไรไปวะเนี่ย งงตัวเอง..
วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 10, 2552
ผู้หญิงชอบน้อยใจกับผู้ชายชอบแกล้ง
เวลาที่คนถามอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ต้องการคำตอบแล้วจะเอ่ยปากถามไปให้เสียน้ำลายทำไม??
มันยากนักหรือไงที่จะเอ่ยคำแค่2 พยางค์ที่ใช้แทนความในใจ "คิดถึง" แค่เนี้ย!!! แล้วยิ่งถ้ามันเป็นสิ่งที่คิดอยู่ในใจอยู่แล้วด้วย มันไม่ควรจะต้องใช้ความพยายามในการพูดมากนักใช่ไหม
"ไม่ได้คิดถึงเลย พอทำงานก็ไม่ได้คิดอะไร ทำเสร็จก็กลับ"
ประโยคสั้นๆ เนี่ยนะ ..ถ้าไม่ใช่คนพิเศษก็คงไม่คิดอะไรมากหรอก เออ.. ก็เรื่องของเมิง ไม่คิดก็ไม่คิด แต่ไอ้คนที่ตอบนี่ดันเป็นคนที่เราคิดถึงตลอดทั้งวันน่ะสิ ก็แล้วมันผิดหรือไงที่คาดหวังว่าคนที่รักกันก็น่าจะมีความคิดคล้ายๆ กันบ้างน่ะ ฟังแล้ว..หมดเลย.. พลังงานที่ยังเหลือยู่จากกิจกรรมภายนอกทั้งวัน
ถ้าทรุดลงไปกองได้มันก็คงลงไปแล้วล่ะ แต่บังเอิญว่านอนอยู่ ไอ้ที่ร่วงมันเลยเป็นน้ำตาอย่างเดียว
เออ.. นี่ตกลงว่าชั้นรักเค้าข้างเดียวใช่ไหม??
มันมีคนรักกันชาติไหนที่ไม่คิดถึงกันเพราะทำงานอยู่กันยะ!!
พอเราเสียใจ ก็ถึงจะมาบอกว่าก็แกล้งพูดไปอย่างนั้นแหละ เพราะรู้ว่าอยากได้ยินอะไร ก็ คนมันโรคจิตอ่ะ
เออ.. ก็คงใช่แหละ ถ้าคิดว่าสิ่งที่ทำไปนั้น ตั้งใจทำทั้งที่รู้ว่ามันจะทำให้คนที่ตัวเองเคยบอกว่ารักต้องเสียใจ
ตบหัวเสร็จก็ลูบหลังต่อ.. ชอบบอกเสมอว่า "ทำไมไม่ดูจากการกระทำล่ะ ถ้าไม่คิดถึงจะโทรหามั๊ย"
อืม.. โทรหาก็จริงอยู่ แต่คุณก็ไม่ได้แสดงให้รู้เลยนี่ว่าโทรมาเพราะคิดถึง ไม่ใช่เพราะมีธุระน่ะ
เคยคิดบ้างไหมว่ากว่าจะทำให้เข้าใจได้ ก็เมื่อนึกไปเสียแล้วว่าเค้ารู้สึกอย่างที่พูดออกมา แล้วก็เสียใจไปเรียบร้อยแล้ว การฉุดคนที่เสียใจให้มีกำลังใจ กับการให้กำลังใจคนที่ยืนอยู่ อันไหนมันจะใช้พลังงานมากว่ากัน
ถ้าจะคิดรักษานิสัยอย่างนั้นไว้แล้วให้คนรักต้องชินไปเอง
สงสัยคงได้เสียใจกันอีกนาน
วันอังคาร, ธันวาคม 08, 2552
ชาร์ตเท่าไหร่ไฟก็ไม่เต็มสักที
เพิ่งกลับมาจากทริปสังขละบุรีเมื่อวาน 3 วัน 2 คืน ผ่านไปอย่างรวดเร็วตามเคย สนุกและมีความสุขตามอัตภาพ แม้จะไม่ถึงขั้น delight แต่อย่างน้อยก็ได้พักผ่อน มองต้นไม้ สายน้ำ ชีวิตชาวบ้านและสีสันของนักท่องเที่ยวต่างถิ่น เสียงหัวเราะและความสุขเหล่านั้นทำให้พลังใจกลับคืนมาได้บ้างไม่มากก็น้อย
วันนี้ชีวิตก็ดำเนินไปตามปกติ น่าเบื่อเหมือนทุกวัน แถมยังมีอะไรค้างคาใจให้รู้สึกตะขิดตะขวงอยู่ลึกๆ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เพียง "ทำใจ" ร่มๆเข้าไว้ เพราะยังไงเสียคำตอบมันก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา ดิ้นรนไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ชีวิตมันก็อย่างนี้ล่ะนะ ถ้าเรารู้ทุกอย่าง มันก็คงไม่มีคำว่าตื่นเต้นแล้วล่ะมั๊ง
-- Post From My iPhone
วันศุกร์, กันยายน 25, 2552
เหตุผล เหตุผล และเหตุผล..
ในแต่ละวันการคิดเรื่องอะไรสักเรื่อง หรือตัดสินใจทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง
จริงหรือที่ว่าเหตุผลเป็นเรื่องหลักที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของคน
หากว่ากันตามหลักกายวิภาคแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่า "ระบบประสาท" จะรับสัมผัสจากสิ่งเร้ารอบตัวที่เข้ามากระตุ้นตัวเรา เพื่อที่จะนำไปประมวลผลยังสมองส่งผลให้เกิดการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายๆ อย่างตอบสนองกลับมา
แต่การแปลผลในสมองนั้นล่ะ จะเกิดจากการใช้เหตุผลเพียงอย่างเดียวนั้นหรือ
หากเป็นเช่นนั้นจริง คำว่า "อารมณ์ชั่ววูบ" นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ส่วนตัวแล้วเราเชื่อว่าเหตุผลเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ คนเรา "เลือก" มาใช้ประกอบการกระทำของมากกว่า
หลายต่อหลายครั้งอารมณ์ถูกนำเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจ โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ
การที่เรารักใครสักคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล 108 มาสนับสนุนว่าทำไมเราถึงรักเค้า เพราะเรารู้สึกรักด้วยหัวใจ และสิ่งนี้แหละที่ทำให้มนุษย์แตกต่างกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพราะมนุษย์รู้จักที่จะรัก
แต่สิ่งที่ยากที่สุดในการมีความสัมพันธ์กับใครสักคน ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำอย่างไรจึงจะมีความรัก เพราะการมีความรักเป็นเรื่องที่ง่าย แต่การรักษาความรักไว้ให้อยู่กับเราตลอดไปสิมันยาก..
ความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ต้องแลกมาด้วยเวลาและความอดทนอย่างยิ่งที่จะรักษาความรักให้ดีที่สุด
เคยได้ยินไหมว่า "เหตุผลอาจใช้ไม่ได้กับความรัก"
ลองถามตัวเองว่าเวลาคุณมีความรัก คุณรักด้วยเหตุผล หรือด้วยหัวใจ?
วันจันทร์, สิงหาคม 03, 2552
ความสุขมีได้ แม้ในวันธรรมดา
ตื่นนอนตอนสาย (โด่ง) แล้วก็งัวเงียลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา เดินมึนๆ ลงไปชั้นล่าง พฤติกรรมตามวิสัยปกติของวันอาทิตย์อย่างนี้ แต่ความสุขมันเกิดตรงที่เราได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นเคย (เหมือนหมาขึ้นทุกวัน.. ได้ยินเสียงรถแล้วจำได้เนี่ย หึๆๆ) ชายหนุ่มมาแล้วพร้อมกับอาหารกลางวัน เย้!
หลังจากถูกดุเรื่องแต่งตัวไม่เรียบร้อย (ก็ชุดนอนอ่ะ) ก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวแสนจะร่าเริง อารมณ์ดีจริง..จริ๊ง.. เพิ่งถูก comment มาแท้ๆ !! กินข้าวเสร็จ นั่งพูดนั่งคุยกับพ่อแม่พักใหญ่ก็พากันออกไปเดินเล่นที่สวนจตุจักร เมื่อกลางวันคิดว่าตัวเองแปลกที่ไปถึงถิ่นช็อปปิ้งแต่กลับไม่ซื้ออะไรติดไม้ติดมือเลย นอกจากน้ำแก้วเดียว ตอนแรกก็คิดว่าคงเพราะหมู่นี้ช็อปมากไปแล้วจนไม่มีอะไรที่อยากได้อีกแล้ว แอบตำหนิตัวเองอยู่ว่าใช้เงินไร้สาระมากไปแล้วนะ ก็พยายามจะเพลาๆ มือลงบ้างละ 55+
เพิ่งมาคิดได้เดี๋ยวนี้เองว่า เหตุผลที่แท้จริงน่ะมันเป็นเพราะ "ความสุข" มันมีอยู่เต็มหัวใจ จนเราไม่อยากได้อะไรอีกแล้วต่างหาก
เพียงแค่ได้เจอ ได้ใช้เวลาร่วมกัน แค่นี้ก็มีความหมายมากมายเหลือเกิน ความรักของเราแม้มันจะไม่ได้สวีท หวานหยาดเยิ้มเหมือนใครๆ ไม่ได้หายใจเข้าออกเป็นกันและกัน แต่มันก็มีความสุขในแบบชีวิตที่เรียบง่ายดีนะ
ถ้าเราทำ "ทุกวัน" ให้เหมือนเป็น "เรื่องธรรมดา"
แล้วมองเรื่องธรรมดานั้นให้เป็น "ความสุข"
...ทุกวันก็คงเป็นวันที่มีความสุขใช่ไหม??...
จะพยายามนะ แล้วเราก็คิดว่าเราทำได้ ขอแค่ว่า "ความรู้สึก" ที่สัมผัสได้มันยังเหมือนเดิมในทุกๆ วันก็พอ จงทำตัวให้เหมือนรักกันเป็นวันแรก แล้วทุกวันจะเป็นวันแรกที่มีความสุขสดชื่นตลอดไป..
ถึงตาอ้วน..
ขอบคุณ.. นะคะที่มาอยู่ด้วยกันทั้งวันในวันนี้
ขอบคุณ.. ที่ทำให้วันธรรมดาเป็นวันดีๆ วันหนึ่ง
ขอบคุณ.. ที่พยายามจะเข้าใจกัน
วันจันทร์, กรกฎาคม 20, 2552
นี่ใช่ไหม.. ความรัก
แม้เราจะไม่เคยโวยวายใส่กันแรงๆ แต่การสนทนาก็จบลงลงด้วยความรู้สึกเป็นลบในใจทั้งคู่
ความรู้สึกต่อจากนั้นของเค้าเราก็ไม่รู้แล้ว แต่ของตัวเองน่ะมันวูบไปหมดเลย รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงที่มีมันหายไป แม้แต่จะกระดิกนิ้วก็ไม่อยากทำ คนเรานี่จิตใจเป็นส่วนที่อ่อนไหว แต่ก็ทรงพลังที่สุดจริงๆ
ในมุมมองของเรา "แฟน" หรือ "คนรัก" ก็คือคนที่เป็นอีกส่วนหนึ่งของเรา แล้วมันผิืดด้วยเหรอที่อยากอยู่ใกล้คนที่เรารักน่ะ??
รึว่ามันเป็นความแตกต่างของคนต่างเพศ "หญิง" และ "ชาย"
ที่เค้าว่ากันว่า Women from Mars & Men from Venus คงเป็นคำพูดที่ถูกต้องแล้ว
เมื่อมาจากดาวคนละดวงกัน ความคิดและความต้องการก็ไม่เหมือนกันเป็นธรรมดาใช่ไหม...
ผู้หญิง ต้องการใครสักคนอยู่เคียงข้าง เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เข้ามาเติมเต็มงชีวิตที่ขาดหายให้สมบูรณ์
ต่างคนต่างก็คิดคล้ายๆ กันว่าอยากอยู่ใกล้ๆ กับคนรัก จึงให้ความสำคัญกับรายละเอียด ใส่ใจในความเป็นไป ดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด
แล้วผู้ชายล่ะต้องการอะไรจากผู้หญิงคนหนึ่งที่เค้าบอกว่ารัก นอกจากให้ผู้หญิงคนนั้นซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และสามารถดูแลตัวเองได้ปลอดภัย
คิดย้อนไปถึงอดีต.. วันที่อิสระเป็นสิ่งหอมหวานเหลือเกินกับชีวิตที่ผูกติดกันจนแยกไม่ออก การที่ต้องทำอะไรด้วยกันตลอดตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งเข้านอนจึงไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดว่าัตัวเองเหงา ยอมรับว่าในวันนั้นไม่เคยคิดเลยว่าการอยู่คนเดียวให้ความรู้สึกเป็นอย่างไร เพราะใจมันคิดแต่อยากจะมีเวลาเป็นของตัวเอง ต้องการที่จะมีเพื่อน มีสังคมกับคนอื่นๆ บ้าง
พอมาถึงวันนี้กับวันที่ชีิวิตไม่มีใครตีกรอบ อิสระที่โหยหานั้นมีอยู่รายรอบจนบางครั้งกลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนอากาศที่ว่างเปล่าไม่มีความสำคัญสำหรับใคร ทำไมถึงรู้สึกอึดอัดในใจทั้งที่มันควรเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด แต่ความรู้สึกเกร็ง กังวล ทำให้ไม่มีความมั่นใจเลยว่าตัวเองควรจะทำตัวอย่างไร
เราความจะมีความสุขมากไม่ใช่เหรอ ??
ในเมื่อวันนี้เราอยู่ในสถานการณ์ที่เราเคยคิดว่าดีที่สุดสำหรับเราแ้ล้วในวันนั้น แต่เพราะอะไรกันนะ เราถึงรู้สึกเหงา เสียใจ และอ้างว้างอย่างนี้
น้ำตายังคงซึมแต่ด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน....
หรือว่าเป็นเพราะ เค้า หรือ เรา ที่เปลี่ยนไป..
วันจันทร์, กรกฎาคม 13, 2552
ว่าด้วยกะเพรา โหระพา และใบแมงลัก
ทั้งที่ตั้งใจจ้องมันและท่องๆๆ เอาไว้หลายต่อหลายครั้ง แต่แล้วเพียงข้ามวันก็ลืมอีกจนได้
จะบอกว่าไม่ใส่ใจก็คงไม่ใช่ เราว่ามัน "ไม่มีหัวทางนี้" มากกว่าล่ะมั๊ง
โดยนิสัยแต่อ้อนแต่ออก ไอ้เรื่องทำกับข้าวเนี่ยไม่เข้าทางเอาเสียเลย
เพราะงั้น ไอ้เรื่องจะมานั่งมองส่วนประกอบอาหาร ก็คงไม่แปลกที่เอาดีทางนี้ไม่ได้ 55+
หรือแม้จะเป็นเรื่องต้นไม้ใบหญ้าก็เหอะ ไม่ว่ามันจะเป็นต้นอะไร ก็รู้จักมันในนาม "ต้นไม้" และ "ดอกไม้"
ดีหน่อยก็สามารถจัดมันได้ว่าเป็น category "ผัก" หรือว่า "พืช" แค่นั้นแหละ
และแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีเรื่องให้อายจนได้ เพราะเจ้าพืช 3 ชนิดที่ว่านี่แหละ -_-"
หลังจากได้รับคำไหว้วาน (ที่จริงก็ไม่ได้ไหว้หรอก แค่บอกว่าแวะซื้อให้หน่อยเท่านั้นแหละ) ให้แวะซื้อวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็นให้หน่อย..
"คิดว่าจะทำผัดกะเพรา เพราะงั้น ซื้อ กะเพรา, หมูสับ และเห็ด นะครับ"
"ได้ค่ะ"
....ปรื๊ด..ด...
(Fast Forward เพื่อไม่ให้เสียเวลา)
...ถึงตลาดละ เหลียวซ้ายแลขวา นั่นไง!! แผงขายผัก
"กะเพราอยู่ไหนคะ"
"ทางโน้นเลยค่ะ ข้างๆ โหระพา"
~~แม่เจ้า..ผักเรียงเป็นกองทัพ เขียวอี๋เต็มไปหมด แล้วไหนวะ กะเพรากะโหระพาของเจ๊แกสงสัยไอ้นั่นล่ะมั๊ง ใบคุ้นๆ เหมือนเคยกิน
ไม่คิดมากละ หยิบเสร็จคิดตังค์แล้วก็บึ่งกลับบ้าน ร้อนเหลือเกิน!!
ถึงบ้านปุ๊ปวางของลงบนโต๊ะก็ได้ยินว่าหลอดไฟเสีย
เออ... เปลี่ยนเองก็ได้วะ ลากเก้าอี้ไม้แสนหนักไปหลังบ้านแล้วก็ขึ้นไปยืนหมุนน็อตออกเรียบร้อย ดึงขั้วหลอดไฟออกจากหลอดเก่า...แกร๊บบบ.. ฉิบ.. เสียง'ไรวะ??
จับอีกทีพลาสติกครอบ starter หลุดติดมือออกมา เอาน่า..ยังพอไหว ยืนเหงื่อแตกซิ่กพยายามจะยัดขั้วต่อเข้ากับหลอดไฟต่อไป
กริ๊ง~ง เสียงขั้วทองแดงที่ติดกับขั้ว starter หล่นลงพื้น ..โอเค..จบ ไม่เปลี่ยนมันแล้วเว๊ย พังเรียบร้อย เหอๆๆ
นั่งปาดเหงื่ออีกพัก แล้วลงมือเตรียมอาหาร (มั่วๆ ไปงั้นแหละ มันน่าจะทำงี้นี่หว่า)
((((เข้าสู่กระบวนการ "ล้าง-เด็ด-หั่น"))))
สักพักพ่อครัวมาถึง เดินมาดูปุ๊ป เฮ้ยย..ย นี่มัน "โห-ระ-พา" ไม่ใช่ "กะ-เพรา" หนิครับ
พูดเสร็จก็หันมายิ้ม แล้วก็ปล่อยก๊าก ก็รู้แหละว่าหยุดไม่อยู่แล้วจริงๆ (..เสียมารยาทชะมัดเลยตาอ้วนนี่!!)
เออ.. เอากะเค้าจิ ก็รู้อยู่แล้วว่าทำกับข้าวไม่เป็น แยกผักยังไม่ออกเลย มาหัวเราะทำไมอ่ะ ฮือๆๆๆๆ
สรุป!! เปลี่ยนแผน จากผัดกะเพรา กลายเป็น หมูสับผัดพริกเผา ไปซะงั้น
แม้จะเค็มไปนิด แต่ก็อร่อยดี อิอิ
แม้ว่ามันจะเป็นมื้อเย็นที่ทุลักทุเลไปสักหน่อย
แต่มันก็มีอะไรให้ชื่นใจ ตอนที่แม่ถามว่า ไปฮ่องกงมาประทับใจอะไรที่สุด แล้วได้ยินคำตอบที่ว่า "ประทับใจคนไปด้วยที่สุดครับ"
เหอะๆๆ ถึงแม้ว่าจะแกล้งพูด แต่มันก็แฮปปี้ที่ได้ยินนะ 55+
~~น้ำเน่าอย่างนี้แหละน่ารัก~~
ปล.
เอาผักสามชนิดมาให้ศึกษา!!!

กะเพรา "Basil" (ชื่อวิทยาศาสตร์: Ocimum sanctum) เป็นไม้ล้มลุก แตกกิ่งก้านสาขา สูง 30 - 60 ซม. ลำต้นค่อนข้างแข็ง ตามลำต้นมีขน ใบ เป็นใบเดี่ยวการเกาะติดของใบบนกิ่งแบบตรงข้ามสลับตั้งฉาก เรียงตรงข้าม รูปรี กว้าง 1-3 วม. ยาว 2.5-5 ซม.
ใบ ปลายแหลมหรือมน โคนแหลม ขอบจักฟันเลื่อยและเป็นคลื่น แผ่นใบมีขน ดอกเป็นแบบช่อฉัตร ออกบริเวณปลายยอดและปลายกิ่ง ยาว 8-10 ซม. ดอกย่อยมีขนาดเล็ก รูปคล้ายระฆัง กลีบดอกมีทั้งชนิดสีขาวลายม่วงแดงและสีขาว โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นกรวย ส่วนปลายแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนบนแยกเป็น 4 กลีบปลายแหลมเรียว ส่วนล่างมีกลีบเดียวค่อนข้างกลม ผิวกลีบด้านในเกลี้ยง ด้านนอกมีขนตามโคนกลีบ กลีบเลี้ยงสีแดงน้ำตาลแกมม่วง และสีเขียว เนื้อกลีบแข็ง ส่วนโคนเชื่อมติดกันเป็นกรวย ส่วนปลายแยกเป็นกลีบปลายแหลมแบบหนาม ก้านดอกย่อยสีเขียว ยาวประมาณ 0.20 - 0.30 ซม.
ผล แห้งแล้วแตกออก เมล็ด เล็ก รูปไข่สีน้ำตาล มีจุดสีเข้มเมื่อนำไปแช่น้ำเปลือกหุ้มเมล็ดพองออกเป็นเมือก

โหระพา "Sweet Basil" (ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimum basilicum Linn.) เป็นไม้ล้มลุก สูง 0.5-1 เมตร ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม กิ่งอ่อนสีม่วงแดง ใบ ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปไข่หรือรูปรี กว้าง 3-4 เซนติเมตร ยาว 4-6 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน ขอบจักเป็นฟันเลื่อยห่างๆ ดอกสีขาวหรือชมพูอ่อน ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ยาว 7-12 เซนติเมตร ใบประดับสีเขียวอมม่วงจะคงอยู่เมื่อเป็นผล กลีบดอกโคยเชื่อมกัน ปลายแยกเป็น 2 ส่วน เกสรตัวผู้ 4 อัน ผล ขนาดเล็ก
แมงลัก "Lemon Basil" (ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimum × citriodourum) เป็นพืชล้มลุกในสกุลกะเพรา-โหระพา แมงลักมีใบเล็ก สีอ่อน บอบบาง ช้ำง่ายและเหี่ยวง่ายกว่า ชื่อสามัญเดิมเรียกกันว่า hoary basil (hoary แปลว่าผมหงอก) โดยนำมาจากลักษณะที่มีขนอ่อนสีขาวๆ บริเวณก้านใบและยอดอ่อน ต่อมาก็เปลี่ยนมาเรียกว่า lemon basil ตามลักษณะกลิ่นที่คล้ายส้ม-มะนาว ใบมีกลิ่นฉุน ใช้ประกอบอาหารเช่นเดียวกับกระเพราและโหระพา

สะระแหน่ "Lemon balm" เป็นพืชสมุนไพรยืนต้น ตระกูลมิ้นต์ วงศ์กะเพรา พืชล้มลุก อายุหลายปี สูง 0.3-0.9 เมตร ลำต้นกิ่งก้านเป็นเหลี่ยม สีม่วงหรือแดงเข้ม ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือวงรี ขอบใบหยักฟันเลื่อย ดอกสีขาว ออกที่ปลายยอด ผลแห้ง มี 4 ผลย่อย เมล็ดเล็กเท่าเมล็ดงา สีน้ำตาลเข้ม เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 70 - 150 เซนติเมตร ส่วนใบมีกลิ่นหอมคล้ายใบมะนาว ออกดอกสีขาวๆที่เต็มไปด้วยน้ำหอม,น้ำหวาน อยู่ภายใน นี้ดึงดูดใจให้ผึ้งมาดูดน้ำหวานและจากเหตุนี้ทำให้สะระแหน่อยู่ในสกุล Melissa (ภาษากรีก แปลว่า "น้ำผึ้ง") และยังมีรสชาติคล้ายคลึงกับ ตะไคร้หอม มะนาว และแอลกอฮอล์
วันอังคาร, มิถุนายน 16, 2552
กระทู้ระบายความคิดเด็กใจแตก
สำหรับคนอื่นแล้วการเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านระยะใกล้ขนาดนี้อาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเราผู้ซึ่งไม่ค่อยได้ลงมือทำอะไรๆ ด้วยตัวเองแล้ว ทริปนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่พอควร หากครั้งนี้สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข ต่อไปในอนาคตก็จะมีโปรแกรมลักษณะนี้ (แต่โหดกว่าเดิม) ตามมาอีกแน่ๆ ถึงเราจะไม่ได้เก่งกาจ ไม่ได้มีความสามารถขนาดจะพาตัวเองไปอยู่เมืองนอกเมืองนาเหมือนที่เคยฝันไว้สมัยเด็กๆ แต่การไปเที่ยวแค่ไม่กี่คืนมันคงไม่ยากเกินไปถ้าจะทำเพื่อตัวเองล่ะนะ
เกือบไปเหมือนกันที่จะต้องเป็น Alone in the Universe ออกเดินทางท่องโลกกว้างเสียแล้ว เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปจากที่คาดการณ์ไว้แต่ต้น และคนที่เราอยากเดินทางด้วยก็มีท่าทีไม่สนใจเอาเสียเลย (ก็ไม่รู้นะว่าถ้าเราพูดความจริงว่า เราอยากไปกับเค้าตั้งแต่แรก แต่ด้วยข้อจำกัดในเวลานั้นจึงทำไม่ได้ แต่พออะไรๆ เปลี่ยนไปแล้ว เราก็อยากให้เป็นเค้าอย่างที่แอบคิดไว้ตั้งแต่ต้น ที่จริงคนเดิมเค้าก็อยากไปนะถ้าเราบอกว่าโปรเจ็คนั้นยังคงอยู่ แต่เป็นเพราะเรานี่แหละที่ตัดสินใจไม่บอก เพราะตั้งใจที่จะเลือกคนรักมากกว่า มันจะทำให้เค้ารู้สึกดีขึ้นไหม??) แต่ก็ยอมรับนะว่าหากเค้าไม่ไปกับเราจริงๆ เราก็ยังคงตั้งใจที่จะเดินทางคนเดียวอยู่ดี มันคงจะเป็นครั้งแรกที่คนขี้ขลาดอย่างเราเดินทางคนเดียว!!
เอาเป็นว่าในวันนี้ดีใจมากๆ ที่เค้าตัดสินใจไปกับเรา แม้ว่าจะเป็นเพราะความเป็นห่วงมากกว่าตั้งใจที่จะท่องเที่ยวจริงๆ ก็ตาม เพราะส่วนตัวแล้วตั้งใจที่จะให้คราวนี้เป็นการสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างเราอีกครั้ง แปลกไหมที่จะบอกว่าอยากเดินทางกับเค้าเพียงสองคนแค่นั้น อยากใช้เวลาร่วมกันโดยที่ไม่มีบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ได้แต่ตั้งความหวังล่วงหน้าว่าคราวนี้คงเป็นการเดินทางที่ดีนะ..
แต่วันนี้..
ตั้งใจที่จะมาระบายความรู้สึกในใจออกมาเสียหน่อย เพราะช่วงที่ผ่านมารู้สึกว่าตัวเองจะมีปัญหาเสียเหลือเกินกับความรักครั้งนี้ ซึ่งแม้จะเกิดขึ้นกับคนเดิมแต่ก็อยากจะทำอะไรๆ ให้มันดีขึ้นให้สมกับที่คาดหวังไว้มานาน
เรื่องราวในครั้งก่อนยังคงอยู่ในใจเราเสมอ วันที่ตั้งใจปล่อยตัวเองให้อยู่กับเค้าทั้งที่รู้ว่ามันมีโอกาสที่จะเกิดขึ้น แต่เราก็เลือกที่จะยอมรับในสิ่งนั้น แม้หลังจากนั้นจะนึกเสียใจอยู่บ้างแต่ก็ยอมรับได้ในสิ่งที่เกิดขึ้น
ก็เพราะว่า "รัก" ไง ที่ทำให้ผู้หญิงอย่างเราตัดสินใจอย่างนี้ ไม่คิดว่าตัวเองจะรักผู้ชายคนไหนถึงขนาดที่จะทุ่มเทเดิมพันชีวิตที่เหลืออยู่กับเค้า จนทุกวันนี้เราแทบจะไม่เหลืออะไรให้เป็นจุดเหนือกว่าคนอื่นอีกแล้ว ก็แค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่มีรัก มีห่วงหากับเค้าเท่านั้นเอง
เสียใจมาก..
ที่วันนี้เค้าเหมือนไม่ใช่คนเดิมที่เคยเป็น "เจ้าของ" เรา
เค้าเปลี่ยนไปจากผู้ชายที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างและเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา รักเราอย่างจริงใจ กลายเป็นคนที่อยู่นิ่งๆ เพราะความไม่เกี่ยวข้องกัน อดีตที่แสนมีค่าสำหรับเราแต่เป็นความทรงจำอันเลวร้ายของเค้า!
ชีวิตต่อจากนี้เราเองยังเข้าใจเลยว่า เราไม่เหลือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจได้อีกต่อไป "ผู้หญิงมีตำหนิ" (เรียกอย่างนี้คงตรงที่สุด) อย่างเราก็คงจะต้องหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อไปด้วยสีหน้าเนียนๆ ทั้งที่ใจแล้วเราแสนจะเศร้า
จะมีไหมวันที่เราจะได้เป็นที่รัก มีค่าในสายตาของเค้าน่ะ
วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 07, 2552
Wedding's Day วันแห่งความหวังของผู้หญิงทั้งโลก..
แต่แล้วมือก็อยู่ไม่สุขกดเข้าไปหาข้อมูลอีกจนได้ อ่านไปอ่านมา เออ..หนอ.. เราก็จะไปงานแต่งในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว กล้องก็อยู่กับมือ แฟลชก็เพิ่งยืมมาเมื่อกี้ ซะหน่อยน่า.. หาข้อมูลเผื่อไว้บ้างอาจทำให้ชีวิตมัน "ประเทือง" ขึ้นมาบ้างล่ะนะ อ่านไปก็อือๆๆ เหรอๆๆ สลับกับความกลุ้มที่พอกพูนว่าตรูจะเอาไอ้ความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้จริงๆ ไหมวะเนี่ย และแล้วก็สะดุดตากับประโยคนี้มากๆ จนทำให้อยากเขียนถึงมันเลยล่ะ!
บางอย่างที่อยากฝากไว้...
ในงานแต่งงาน...
บางสิ่งดูเหมือนไม่สำคัญในสายตาเรา แต่จริง ๆ แล้วทุกรายละเอียดในงานแต่งงานนั้นสำคัญครับ...
เจ้าภาพเลือกสรรมาหมดแล้วทั้งสิ้น... ผมถือว่าทุกสิ่งที่ผมมองเห็นในงานนั้นล้วนสำคัญทั้งสิ้น...
บางสิ่งบางอย่างและในบางมุม บ่าวสาวไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะมัวแต่ยุ่งกับการรับแขก และกิจกรรมบนเวที จนไม่มีเวลามาสังเกต..
จะดีแค่ไหนถ้า ทุกครั้งที่เขาได้มองภาพถ่าย..
เขาสามารถได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเตรียมตัวและตั้งใจจัดมันขึ้น...
มิใช่ว่า..ความประทับใจทั้งหลาย..หายไปในชั่วข้ามคืน...
สิ่งที่ได้มาคือ ภาพถ่ายตั้งแถว.. ที่มีแต่แขกผู้มาเยือน.....
อืม..
จริงสินะ..
"งานแต่งงาน" เป็นงานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตผู้หญิงเลยก็ว่าได้
ถ้าเป็นสมัยก่อน ผู้หญิงคงต้องดีใจและเสียใจกับ "การได้มา" และ"การเสียไป" ในบางสิ่งซึ่งมันก็คงทำให้วันนี้เป็นวันที่มีความหมายลึกซึ้งในความรู้สึกมากกว่าสมัยนี้ ที่บางทีก็เป็นเพียงการประกาศให้โลกรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ แต่ยังไงซะสิ่งที่เหมือนกันก็คือ.. ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากแต่งงานมากกว่า 1 ครั้ง เพราะฉะนั้น.. มันก็เลยเป็นวันที่มีความหมายที่สุด และก็ต้องการให้ทุกอย่างมันออกมาดีที่สุดล่ะเนอะ..
ไปงานใครๆ เค้ามาก็พอสมควร..
ก็ได้แต่คิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เป็นตัวเอกในละครฉากนี้กับใครเขาบ้างหรือเปล่านะ เคยแม้กระทั่งฝันไปต่างๆ นานาว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แอบวาดหวังคนเดียวมานาน.. จนตอนนี้รู้สึกเหมือนกับสิ่งที่คิดนั้นสามารถมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างจางๆ เหมือนจะมีอยู่จริง แต่ก็ไม่กล้าที่จะคว้ามันเพราะกลัวว่าสิ่งที่เห็นนั้นจะสูญสลายไป
วันพุธ, มีนาคม 18, 2552
18 มีนาคม 2552 ..สุขสันต์วันเกิดครบรอบ 30 ปี..
สุขสันต์วันเกิดแด่ตัวเองในโอกาสครบรอบ 30 ปีที่อยู่บนโลกนี้ 55+
รู้สึกแปลกๆ กึ่งปลงๆ แฮะ
ที่ว่า "ปลง" ก็เพราะในที่สุดเลขสามก็เข้ามาเยือนชีวิตเราจนได้
ส่วน "แปลก" ก็คือสงสัยว่าเวลาที่คนอื่นเค้าสัมผัสอายุเท่านี้กัน มันรู้สึกอย่างนี้เองเหรอเนี่ย อืมม...ม
อย่างว่าแหละ 30 ปีเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว (บางตำราก็ว่าแก่แล้ว 55+) สมควรที่จะต้องทำตัวให้สมกับวัยแล้วสินะ เลขตัวหน้ามันไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกแล้วว่าเพิ่งจะพ้นวัยรุ่นตอนปลาย เห็นทีจะหมดข้ออ้างกับตัวเองเวลาอยากจะมาง้องแง้ง assume ว่าตัวเองยังเป็นเด็กน้อยซะแล้ว
บอกตรงๆ ว่ายังไม่อยากแก่ขึ้นเลย.. อยากหยุดเวลาไว้ที่ตรงนี้ คงจะดีถ้ายังมีเลขสองนำหน้าให้นานกว่านี้ เพื่อที่ว่าจะได้ดื้อดึงทำตัวไม่รู้จักโตนานอีกหน่อย ก็ช้านยัง (ใจ) เด็กอยู่นี่อิอิ
จะว่าไปคนที่อยากจะรั้งวัยเด็กให้ได้นานๆ ก็คือคนที่เข้าใจดีอยู่แล้วว่าตัวเองน่ะโตแล้วนะสิ ถึงได้คิดอย่างนั้น 55+ ความรับผิดชอบมากมายที่มากับความเป็นผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวใดๆ ก็ตาม มองเห็นแล้วว่ากำลังรอคอยให้เข้าไปจัดการให้เข้ารูปเข้ารอย ต่อไปนี้นอกจากจะต้องรับผิดชอบตัวเอง ยังมีบุคคลรอบข้างที่ต้องการให้เราดูแลอีกหลายคน
คิดแล้วก็เหนื่อยจัง..
แต่....อดทนเข้าไว้นะ!!
อย่าท้อ!! อย่าอ่อนแอ!!
ตื่นจากความฝันแล้วยอมรับซะเถอะว่าคงไม่มีใครเข้าใจเราได้มากไปกว่าตัวเราเอง ต้องเชื่อมั่นในตัวเองให้มากกว่านี้ เป็นกำลังใจให้ตัวเราสิ!!
(พยายามปลุกใจตัวเองสุดฤทธิ์ ทั้งที่จริงก็ยังอยากได้กำลังใจจากคนอื่นอยู่ดี 55+)
ครบรอบวันเกิดปีนี้ด้วยการอยู่คนเดียวเงียบๆ เพื่อจะได้นั่งนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต..
เรื่องแย่ๆ เศร้าๆ มากมายที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิต วันนี้มันผ่านไปกลายเป็นเพียงแค่บทเรียนบทหนึ่งในประสบการณ์ชีวิตเท่านั้น
เรื่องที่เคยแอบผิดหวังเสียใจ เฝ้าโทษตัวเองอยู่คนเดียว ในวันนี้ "ความกล้า" ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดของคำว่า "ถ้า..." เหล่านั้นให้เป็นเรื่องจริง
ความสุข เสียงหัวเราะ เหตุการณ์ประทับใจทั้งหลายให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ ในเวลาที่นึกถึง
แม้วันนี้มันเลือนลางจนเหมือนเป็นเพียงแค่ฝันดีๆ แต่ก็เป็นกำลังใจที่อบอุ่นเสมอ..
ชีวิตจากนี้ไปยังไม่รู้ว่าจะดีหรือร้ายอย่างไร
หวังเพียงแค่ว่า ขอให้ชีวิตดำเนินไปในทิศทางที่ถูกที่ควร
อยากจะใช้เวลาทุกวันให้มีค่าที่สุด อยู่กับคนที่สำคัญที่สุด เพื่อให้มีความสุขที่สุดตลอดไป
ปล.
ของขวัญวันเกิดปีนี้ได้รับอย่างที่ตั้งใจไว้เลยล่ะ
จะว่าเริ่มเดาใจใครบางคนถูกแล้วรึเปล่านะ 555
"ขอให้วันเกิดในทุกๆ ปีหลังจากนี้ มีเค้าอยู่เคียงข้างเราตลอดไป"
วันอังคาร, มีนาคม 10, 2552
เซ็งสั่งลา วัยปลายเลข 2
วันนี้ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงสักเท่าไหร่ แสบตาและง่วงนอนชะมัด ถ้าไม่คิดว่างานค้างจากสัปดาห์ก่อนมันเยอะ หรือไม่รู้สึกเสียดายวันหยุดที่ควรจะใช้อย่างมีค่า วันนี้คงหยุดอยู่บ้านนิ่งๆ สักวันแล้วล่ะ นอนหลับให้มากๆ ไม่ต้องคิดอะไรถึงใครทั้งนั้น
ตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้วชีวิตก็วุ่นวายมาตลอดในเรื่องงาน ทั้งงานด่วน งานประจำ งานสิ้นเดือน และงานเฉพาะกิจต้องทำทุกสิ่งแทบจะในทันทีที่นึกขึ้นมาได้ ใจก็คิดแต่ว่าให้มันผ่านไปก่อนแล้วค่อยมานั่งพักทีหลังละกัน ปลอบใจตัวเองว่า เอาน่า.. งานยุ่งช่วงนี้ก็ยังดีกว่าปีก่อนๆ ที่วันเกิดก็ไม่ได้อยู่เป็นสุข ปีนี้คงดีกว่าที่ผ่านมา อีกอย่างเสาร์-อาทิตย์ที่กำลังจะมาถึงก็เป็นกำลังใจได้เป็นอย่างดี
จนกระทั่งเมื่อวานเหมือนชีวิตจะกลับสู่วงจรปกติที่สงบสุข เหลือก็แต่งานกองพะเนินที่นอนรอให้มาสางอีกระลอกใหญ่ ถอนหายใจไปสองเฮือก..ก อาศัยพลังใจที่สะสมมา 2 วันช่วยดับความองศาของงานและคนใกล้ตัวไปเรื่อยๆ ใครจะระอุช่างมัน อย่ามายุ่งกะกุละกัน เรื่อยๆ ชิลล์ๆ หลับหูหลับตาทำงานไป
ดูเหมือนว่า..มันจะผ่านพ้นวันแรกของสัปดาห์ไปได้ด้วยดี..
แต่แล้วก็ได้เสียน้ำตาอีกจนได้ T_T
"คำพูด คือ อาวุธที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูงสุด"
โดยเฉพาะจากคนที่มีอิทธิพลกับความคิดความรู้สึกของเราซะด้วย มันคงจะดีนะถ้าคนเราเลือกรับฟังแต่ในสิ่งที่สร้างสรรค์ได้น่ะ จะได้ไม่ต้องให้คำพูดคนอื่นมาบั่นทอนความรู้สึกเราเล่น เกลียดตัวเองชะมัดที่อ่อนไหวต่อคำพูดอย่างนี้ มันเหมือนคนอ่อนแอที่สุด!!
ถึงจะรักให้ (เรา) ตาย เค้าก็ไม่ได้เข้าใจซักกะหน่อย
นึกๆ แล้วอยากเป็นคนเห็นแก่ตัวเฟ้ย! จะได้ทำอะไรตามใจตัวเองให้เต็มที่
แคร์แมร่งคนเดียวเนี่ยแหละ คนทั้งโลกจะเป็นยังไงช่างมาน~~~น
ไม่มีใครเข้าใจก็ช่างเรอะ?? ก็ช่างมัน!! กรูเข้าใจตัวเองก็พอ
ถ้ารักแล้วมันเหมือนกับเอาหัวใจไปผูกติดไว้กับตีนชาวบ้านอย่างนี้ สู้เหยียบมันเองเสียไม่ดีกว่าเหรอ เปิดเผยความรู้สึกมากไปก็มีแต่ตัวเองนี่แหละที่ต้องเจ็บ ไม่อยากยืนอยู่ในที่สว่างแล้วล่ะ แสบตา.. เหนื่อยใจ..
ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนวันนี้ตอนนี้ ยังไม่รู้สึกดีขึ้นเลย..
เวลามันเฉาๆ นี่นะ โลกทั้งโลกช่างน่าเบื่อเสียจริง
เมื่อไหร่จะรู้สึกดีขึ้นซะทีนะ!!!
วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 17, 2552
อัปเดตหลังวาเลนไทน์
แหม..ม.. พูดแล้วก็เคือง อุตส่าห์ตั้งใจทำตั้งนาน ไม่ได้แตะเจ้าโปรแกรมนี้มาตั้งนานนม นานซะจนจำคำสั่งอะไรไม่ได้เลยต้องมามั่วนิ่มเอาใหม่หมด อุตส่าห์แก้สี ตกแต่งจน (เหมือนจะ) งามแล้วนะ อยู่ๆ PC ก็ใจน้อยค้างซะงั้น จะปิด/เปิดอะไรก็ไม่ได้ กด 3 ปุ่มมหัศจรรย์ก็แล้ว ไม่หือ..ไม่อืออะไรทั้งนั้น จนในที่สุดตัดใจ (ปัญหาเกิดตรงนี้แหละมั๊ง) จิ้ม reset ซะเลย หลังจากนั้นแหละที่นรกมาเยือน..
"PRESS ANY KEY TO REBOOT"
คำสั้นๆ บนหน้าจอดำๆ
น่าฉงนซะจริง.. อาไรฟะ กดก็ได้ แล้วก็กระจ่างใจขึ้นทันทีเมื่อมันวนอยู่แต่หน้านี้ windows ไม่ขึ้นแต่อย่างใด "ซวยแล้วสิตรู" ทำไงดีวะเนี่ย??? ปล้ำกะมันอยู่พักนึงในที่สุดก็เข้าใจได้ว่าเครื่องมันหา HDD ตัวที่มี windows ไม่เจอ จะช็อตหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่า "ซวยสนิท" แน่ๆ โปรแกรมหายหมด ต้องลงเครื่องใหม่ setting ใหม่หมดอีกสิเนี่ย T_T รอไอทีที่รักมาทำให้ดีกว่ามั๊ง เผื่อว่าเค้าอาจจะเอามันกลับมาได้โดยไม่ต้องลงใหม่อ่ะ
จบเรื่องเมื่อวานแต่เพียงเท่านี้ ด้วยความเศร้าของเราที่ไม่มีเน็ตเล่น (อีกแล้ว) ง่ะ
ตื๊ดดดด...
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นหน่อยนะ
วาเลนไทน์ปีนี้..เกือบทั้งวันหมดไปกับการนั่งจุ้มปุ๊กอยู่โรงพยาบาล นั่งรอคิวตั้งแต่เช้าจนเย็น ตากพัดลมผสมกับฝุ่น และเชื้อโรคในโรงพยาบาล ตกเย็นเสียงหายซะฉิบ!!! ทั้งที่ตอนเช้ายังปกติดีอยู่เลยแท้ๆ ไหงกลายเป็นเสียง "เซ็กซ์" เสื่อมขนาดนั้นได้ล่ะน๊อ ..มันก็น่าเสื่อมหรอกนะ ฟังยังไงก็เสียงผู้ชายชัดๆ หน้าก็ไม่ได้หญิงจ๋าอยู่แล้ว เสียงแบบนี้นี่มันกระเทยนี่หว่า!!
บ่ายสี่โมงครึ่งซมซานกลับบ้าน หมดเรี่ยวหมดแรงเหลือเกิน พอไปถึงห้องมี surprise เมื่อคนที่บอกเราว่าติดงานวันนี้กลับใส่เสื้อยืด+ขาสั้นนั่งเล่น net อยู่ในห้องเราซะนี่ (มาบอกทีหลังว่ารู้หลายวันแล้วว่าเค้าเลื่อนวัน แต่ไม่ยอมบอกเรา ..กะเซอร์ไพรซ์ งั้นสิ!! ..ยังไม่เข็ด 55+
นั่งจุ้มปุ้กลงบนเตียงปุ๊ป..
หวานใจตัวกลมที่นั่งยิ้มกรุ้มกริ่มก็เปิดผ้า..ทันที!!!! (ผ้าห่มอ่ะ..มันคลุมกล่องของขวัญอยู่น่ะ) หยิบกล่องพลาสติกใสผูกโบว์มาให้
...รับปั๊ป..ทันทีเหมือนกัน!!!
อะไรอ่ะเนี่ย (สารภาพว่าตอนแรกงงๆ เพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร)
อ๊ะ...กระดาษสีแดง.. ดอกไม้.. กุหลาบ..
..อืมมม... ขอบคุณค่ะ (ยิ้มหวาน~~~น)
แหม..ม ก็คิดไม่ถึงหนิว่าตาอ้วนจะพับดอกกุหลาบให้อ้ะ ถึงเราจะทำไม่เป็นแต่ก็รู้นะว่าของพวกนี้มันงานพยายาม ถ้าไม่รักจริง (^_^) คงไม่ทำให้หรอกเนอะ ใช้เวลาใช่น้อยนะนั่น
"รู้ว่าอยากได้ ก็เลยทำให้เองดีกว่า เมื่อวานก็ออกไปซื้ออุปกรณ์มาทำให้น่ะ แล้ววิธีทำก็ศึกษาจาก u-tube เอาเอง replay ตั้งหลายรอบกว่าจะทำตามได้"
เค้าจะรู้ไหมนะว่าเราดีใจมากแค่ไหน!!
ยิ่งได้รู้ว่านั่งพับเจ้ากุหลาบ "มานะ" นี่ตั้งแต่วันศุกร์ในออฟฟิศ ก่อนนอน และตอนเช้าวันเสาร์
(เพิ่งเข้าใจชัดๆ เหมือนกันว่า ของบางอย่างที่เกิดจากการทุ่มเทแรงกายแรงใจ มันมีคุณค่าทางใจมากกว่าของราคาแพงตั้งมากมาย ซึ้งกว่ากันเยอะเลยนะเนี่ย อิอิ)
ที่สำคัญ..ปีนี้เป็นปีแรกที่ได้ดอกไม้จากนายคนนี้!!! ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียจริง ที่ในที่สุดความต้องการก็สัมฤทธิ์ผลจนได้ กุหลาบ 12 ดอก กับเวลาเกือบ 12 ปีที่รู้จักกันมา ดีใจจัง
คอยดูนะ.. จะนั่งมองมันทุกวันเลย 55+
วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 14, 2552
hifias1sbu0.swf hosted at ImageShack.us
Visit natster's (my) ImageShack profile



วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 13, 2552
Before Valentine's Day
ที่จริง 14 กพ เป็นวันหยุดก็ดีนะ คนโสดที่ไม่อยากออกไปอิจฉาตาร้อนคนมีคู่จะได้หลบอยู่บ้านอย่างเงียบๆ ไม่มีคู่ก็ไม่เป็นไร แค่ไม่เห็นภาพบาดตาบาดใจให้อิจฉาก็ยังดี ถือซะว่าเป็นวันพักผ่อนหลับอุตุอยู่บ้านจนข้ามวันก็ยังได้เป็นรางวัลชีวิตให้กับตัวเองอีกต่างหาก ^^
เอาเถอะนะ เรื่องราวในวันวาเลนไทน์จะเป็นอย่างไร พรุ่งนี้เดี๋ยวรู้กัน!!! มาเล่าเรื่องวันนี้ก่อนดีกว่า
วันนี้ไปหาหมอด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เหตุเพราะคราวก่อนหมอบอกว่าแผลที่ผ่าตัดไว้ (ครบ 1 เดือนพรุ่งนี้แหละ) มันทำท่าจะไม่ติด
ฮ๊า.. อะไรนะ
คือเล่าให้ฟังก่อนว่า การผ่าตัดปะซ่อมแซมเยื่อแก้วหูที่มันทะลุเนี่ย (เท่าที่ฟังเค้าเล่าอ่ะนะ) เค้าจะปะทั้งหมด 3 ชั้น ทีนี้ไอ้ที่หลุดติดสำลี รึ อุปกรณ์อะไรสักอย่างนี่แหละ..มองไม่เห็นอ่ะ มันคือชั้นนอกสุด เห็นหมอทำหน้าเซ็งๆ แล้วก็เอาเจ้าเยื่อนั่นแปะเข้าไปที่แผลด้วยมือนี่แหละ แล้วก็บอกว่าติดไม่ติดเดี๋ยวก็รู้ ลุ้นๆ หน่อยละกัน วันนั้นเลือดสาดติดนิ้วหมอเลย เหอๆๆ (หมอนี่ก็เสี่ยงเนอะ เกิดคนไข้เป็นโรคติดต่อร้ายแรงขึ้นมาไม่ต้องเสี่ยงติดไปด้วยรึเนี่ย แต่ไม่ใช่ข้าพเจ้าเน้อ "ปลอดภายไร้เชื้อแน่นอนจ้า"
พอมาถึงวันนี้ หมอเอาเจ้าเครื่อง suction ที่เค้าว่าเล็ก (ตรงไหนวะ เจ็บฉิบ) มาดูดๆ ดันๆ เอาอะไรต่อมิอะไรออกมาหลายอย่าง เล่นเอาคนไข้อย่างเราทั้งเจ็บทั้งเสียว แหม..ม มองก็ไม่เห็น เสียงก็ดัง อยู่ใกล้หูซะขนาดนี้ ดีไม่ดีมีเจ็บจึ้กๆ อีก ไม่กลัวได้ไงล่ะ ผ่านไปเกือบ 5 นาที (ที่รู้สึกเหมือน 5 ชั่วโมง) เสร็จ PROCESS ซะที เล่นเอามึนไปทั้งหัว แถมยังโดนหมุนเก้าอี้ไปๆ มาๆ เปรียบเทียบหู 2 ข้างอีก
หมอ: แผลดีขึ้นนะ แห้งดีทีเดียว ก็ "น่าจะ" ติดหรอกนะ
(อ่ะ... ยังมีคำว่า probably หรือ maybe ในประโยคลักษณะนี้ อีกหรือเนี่ย???)
เรา: ค่ะ (ตอบได้แค่นั้นจริงๆ ง่ะ)
หมอ: เดี๋ยวหมอนัดมาดูใหม่ อีกสัก 2 เดือนละกัน ระวังอย่าให้โดนน้ำ ส่วนยาหยอดหู เหลือหยอดก่อนนอนอย่างเดียวก็พอ แผลไม่ค่อยอักเสบแล้ว คราวหน้ายุบบวมแล้วมาดูอีกที
ฟังแล้วเหมือนจะรู้สึกดีแฮะ ตกลง % ติด มากกว่า หลุด ก็ยังดีวะ อ้อ ส่วนที่เจ็บคอแปลกๆ นั่น หมอสุดสวยบอกว่า "ภูมิแพ้" น่ะ เป็นแล้วววว กำๆ ได้โรคเพิ่มซะละตรู T_T
ถือว่าวันนี้ก็ประสบความสำเร็จขึ้นมาหน่อย รึเราควรจะขอบคุณ "ไข่" ที่อุตส่าห์ตะบี้ตะบันกินวันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 สัปดาห์เต็ม ก็ไม่รู้ว่าจะได้ "อะบูมิน" หรือ "โคเลสเตอรอล" มากกว่ากัน คงได้เวลาลดๆ ลงมั่งแล้วมั๊ง เหลือวันละฟองก็พอ เปลือง!!!
วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 02, 2552
วันจันทร์แรกแห่งเดือนก.พ. ทำไมตรูงี่เง่าอีกแล้วล่ะเนี่ย??
ที่จริงก็รู้อยู่แล้วว่าอาทิตย์นี้เค้าจะกลับขอนแก่น แล้วก็ระลึกอยู่ตลอดว่าวันนี้นะ..ไม่อยู่นะ.. แต่ทำไม๊..ทำไมวันนี้ถึงเกิดงอแงขึ้นมาได้ล่ะเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ หรืออารมณ์ "ติสท์แตก" กันนะ
เฮ้อ...
<<<อย่างนี้จะเรียกว่า "งอแง" จน "งี่เง่า" หรือเปล่านะ>>>
ก็มันเหงานี่หน่า อย่ามาบอกว่าเหงาอะไรคนออกเต็มบ้านเต็มเมือง แหม..ม... ถึงรอบตัวจะมีคนอยู่มากมาย แต่มันก็ไม่เหมือนกับคนที่เราต้องการซะหน่อย ไม่มีใครแทนใครได้ ++จริงม๊ะ++
ไม่ได้ติดหนึบจนแยกไม่ออก ไม่ใช่เห็บ เอ๊ย! เหา ที่ต้องอาศัย host ให้มีชีวิตรอด แต่มันเป็นเรื่องทางใจน่ะ..เข้าใจป่ะ ??
ถ้าคุณเคยมีความรัก มันก็ต้องมีบ้างแหละที่ไม่อยากห่างกัน (ซึ่งมันคงจะดีกว่านี้ ถ้าอีกคนนึงรู้สึกเหมือนกัน)แต่กรณีอย่างเรา ดัน "รู้ตัวช้า" กว่าจะคิดได้ว่า "รัก" ก็เมื่อมันเกือบจะสายเกินไป ความรักเกือบเดินสวนทางกันไปแล้ว..นี่แหละที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าจะดีใจดีหรือเปล่าที่มารู้ใจตัวเองได้ทันที่จะเกาะปลายขากางเกงไว้ก่อนที่จะเดินผ่านกันไปความรักมันเลยออกจะรุ่งริ่งไปสักหน่อย..
ที่มาพล่ามอยู่เนี่ย ก็ไม่ใช่มาบอกว่าเค้าไม่รัก อย่างโน้นอย่างนี้หรอกนะ
รู้แหละว่าเค้าก็รักเราอยู่บ้าง.. (มากน้อยแค่ไหนไม่รู้ แต่คาดว่าคงจะเป็นอันดับกลางๆ ในความคิด และไม่อยากรู้ด้วย เพราะทำใจไม่ได้ ถ้ารู้ว่าตัวเองมีความสำคัญน้อยมากๆ) แต่บางทีมันก็น้อยใจน่ะ.. เค้าดูเรื่อยๆ เฉยๆ มีความสุขกายสบายใจ ไม่ทุกข์ร้อนอะไน มันช่างผิดกับเราที่ดิ้นพล่านอยู่คนเดียว เฝ้ารอเมื่อไหร่นะ (เค้า) จะ (มีเวลา) ได้เจอกัน นานๆ เข้าก็จะมีอารมณ์กรุ่นๆ ขึ้นมาบ้าง
"#$%^&@!*" ---> อยากจะบ่น แต่ไม่รู้จะพูดออกมาว่ายังไงถึงจะเข้าใจได้
ใช่สิ! คุณทำใจได้แล้วนี่ มีชั้นหรือไม่มี ก็อยู่ได้สบายๆ ไม่เดือดร้อนอะไร
"พี่ทำใจได้แล้ว ถ้าเจอใครที่ดีกว่าก็ไป พี่อยู่คนเดียวได้สบายๆ" ..บลาๆๆๆ..
แต่ชั้นสิ..ใจมันเร่าๆ อยากเจออยู่ตลอดทุกวัน แต่ไม่อยากพูดมากกว่า พูดไปก็หาว่าเราหลง
"ไม่อยากได้ใครอื่นแล้วนี่ ก็มันรักคนนี้อ่ะ ไม่ใช่ตานี่ก็ไม่เอาแล้ว ไม่อยากไปให้ใครหลอกอีกแล้ว" ...เมื่อไหร่จะเชื่อสักทีนะ..
บ้าๆ หน่อยก็จะคิดว่า ถ้าชั้นเป็นอย่างนั้นมั่ง เรื่อย..เฉย..เจอก็ได้..ไม่เจอก็ไม่เป็นไร.. ถ้าเป็นอย่างนั้นความรักมันจะมีอยู่ไหมนะ??
บางทีก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย น้อยใจ.. ร้องไห้.. อ่อนแอ.. ท้อ!!! จนคิดว่าอยากจะเลิกรักเสียจริงๆ ก็ถ้ารักแล้วมันต้องทุกข์ใจขนาดนี้ มันทรมาณนะ!!! แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าชะมัด!! แต่ชีวิตมันก็เหมือนเรื่องตลกที่แมร่งดูยังไงก็ไม่ขำ -_-" มันออกเฝื่อนๆ ซะมากกว่า สมน้ำหน้าตัวเองง่ะ จะรู้จักความรักก็เมื่อรักจนถอนตัวไม่ขึ้น
หรือว่ามันคือการใช้กรรม?
มรึงเอ๊ย... งอแงไปก็เท่านั้น ใครจะสงสาร ก็ทำคนอื่นเค้าไว้เยอะหนิทำให้เค้ารัก แล้วก็ไม่มีเวลาให้เค้า ไม่เคยดูแลความรัก ทำให้เค้าเจ็บสุดๆ ทีนี้จะต้องการความรักเต็มที่จากเค้ามันจะได้เหรอ..
แล้วสุดท้ายจะต้องเจ็บเหมือนที่เค้าเคยเจ็บหรือเปล่า??
ถ้าเป็นอย่างนั้นขอเจ็บเลยได้มั๊ย มันทรมาณจัง T_T สุขๆ เศร้าๆ เนี่ย ฮือๆๆๆ ไม่ชอบเลยจริงๆ
จะ "รัก" หรือ "ไม่รัก" ว่ามาเลยดีกว่า!!!!
รู้อยู่ว่า "คนนี้" คือ "คนนั้น"
แต่ก็รู้สึกว่าเหมือนไม่ใช่คนเดิมที่ทำให้เราตกหลุมรัก
มีอย่างเดียวที่เหมือน คือ เค้ารู้ว่าเราคิดอะไร แต่นั่นแหละ รู้แต่แกล้ง นี่มันเจ็บแสบกว่าไม่รู้หลายเท่านัก!!!
โอ๊ยย..ย สับสนเว้ย~~~~ย
เอ้า! มิวสิค!!
..มันเหนื่อยมันท้อ ต้องรออีกนานเท่าไหร่ ยิ่งหวังยิ่งไกลออกไปทุกที....
จะมีวันได้เป็นที่หนึ่งของใครอีกไหมวะเนี่ย เฮอะ!!!
วันพฤหัสบดี, มกราคม 08, 2552
โรคจิต!!! เซ็งๆๆๆ
นึกว่าชีวิตวันนี้จะเรื่อยๆ มีความสุขแล้วนะมีเรื่องอีกจนได้!!!
โรคจิต กับ จิตเวช มันเหมือนกันไหมล่ะ
..
..
..
ซวยจริงๆ เลยกุ
จู่ๆ ก็มีเรื่องมาให้ตามล้างตามเช็ดอีกจนได้
อยู่ดีไม่ว่าดี ดันทำตัวเป็นคนดี เป็นห่วงเป็นใย เอ่ยปากถามว่าไปหาหมอโรคจิตหรือยัง??
มีคนมาบอกว่าเป็นโรคจิตใครมันจะไม่โกรธได้ฟะ (โดยเฉพาะว่ามันเป็นจริงๆ ซะด้วย)
ตามตำราเป๊ะเลย..
คนที่เป็นโรคจิตมักไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็น และจะโกรธมาก หากมีคนมาพูดว่าตัวเองเป็นโรคจิต เสมือนว่าคำพูดมันส่งตรงถึงจิตใต้สำนึกอย่างนั้นแหละ แต่ตรงกันข้าม ไอ้พวกที่ไม่แน่ใจตัวเอง จนอยากไประบายกับจิตแพทย์มักจะเป็นพวกจิตปกติดี ที่ชักจะเริ่มสับสนจนคิดว่าตัวเองบ้า รึเปล่า?
ปวดหัวจริงๆ ฟร่ะ กว่าจะเคลียร์กับคนโรคจิตได้ก็ใช้พลังงานไปเยอะ แถมยังต้องไปอธิบายกับคนที่พูดโดยไม่คิดถึงหัวอกคนอื่นอีก ไม่เคยสนใจเลยว่าคำพูดที่ออกไปจากปากจะกระทบกับคนอื่นยังไง เรียนจบ Psychology มาได้ยังไงเนี่ย!!
ว่าก็ว่าเหอะ เราเองยังเคยโดนเลยหนิ "ไปแรดที่ไหนมา" โหยย..ย ไม่มีใครพูดอย่างนี้เลยนะเนี่ย แต่ดันมาเจอกับคนใกล้ตัวซะได้ นึกถึงทีไรหงุดหงิดทุกที ทำไมน๊อออ
เบื่อว้อยยย
วันจันทร์, มกราคม 05, 2552
เค้าท์ดาวน์ admission date!!
ผิดไหมเนี่ยที่จะพูดแบบนี้พอยิ่งใกล้วันที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ความกังวลมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้ใช่มั๊ยที่เค้าเรียกว่ากดดันเนี่ยทั้งที่พยายามจะไม่นึกถึงความรู้สึกนั้น แต่พอมีคนพูดถึงว่า
"แกไม่กลัวเลยเหรอวะ เหมือนเคยชินกับโรงพยาบาลงั้นแหละ"
กลัวสิ (วะ) พี่! แต่พยายามจะไม่คิดถึงมันอ่ะ ใครจะไปชอบอ่ะ เจ็บก็เจ็บ กลัวก็กลัว แม้จะทำเป็นเมิน ไม่สนใจ แต่ลึกๆ มันก็วิตกจริตอยู่พอควรน่ะแหละยิ่งคิดไปใจมันก็ยิ่ง recall memory ในวันผ่าตัดเมื่อคราวก่อนขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อคืนนี้ก็เริ่มมีอาการนอนไม่หลับเข้ามาเยือนอีกแล้ว
...เตียงเย็นๆ ชืดๆ ห้องที่มีแสงไฟกลมๆ สว่างจ้าจนแสบตา อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ปี๊ดๆๆ เต็มไปหมด คนเยอะแยะแต่ไม่คุ้นเคยเลยสักคน ถาด stanless หลายๆ อัน และเจ้านั่น..ฝาครอบยางสีดำๆ มีไอขาวกลิ่นเหม็นแปลกๆ เจอแบบนี้ใครจะไม่กลัวฟะ!!
ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากมาอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นหรอกนะ
นึกถึงการผ่าตัดทอลซิลเมื่อสองปีก่อน ครั้งนั้นก็กังวลนะ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกมาจากห้องผ่าตัดตอนคลอดก็ไม่เคยไปเยือนห้องผ่าตัดมาก่อนเสียความภาคภูมิใจในสุขภาพที่ไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาลมาก่อนในชีวิต (หลังจากครั้งนั้นก็เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอีกเพียบ รั้งตำแหน่งไอ้ขี้โรคมาซะเลย เหอๆๆ)
แต่ก็ไม่กลัวเท่าไหร่เพราะมีคนอยู่ด้วยตลอด (ในเวลานั้นยังมีความไว้ใจอยู่มากก็เลยสบายใจไปอย่างหนึ่งว่ามีคนดูแลแน่ๆ คงไม่ทิ้งเราไปไหน ฮือๆๆ) แม้จะกังวลเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อยู่บ้างว่าจะอาจจะเกิดเหตุระเบิดขึ้นกลางโรงพยาบาล 555 จำความรู้สึกได้ว่าช่างแมร่งงงง ตรูก็นอนอยู่ตรงนี้ใครจะทำอะไรก็ทำละกัน หมดปัญญาจะหาทางออกเพราะนอนแซ่วอยู่บนเตียงง่ะ
และแล้วสามวันสองคืนก็ผ่านมาได้อย่างไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แม้จะอ้วกแตกอ้วกแตนตอนกลับมาจากห้องพักฟื้น (คาดว่ายังเมายาสลบอยู่ พอลุกขึ้นนั่งเร็วๆ มันเลยปรับตัวไม่ทัน T_T) แถมยังเจ็บคอจนกินอะไรไม่ได้เลย จนกระทั่งเช้าอีกวันหนึ่ง แม้จะเป็นไอศครีม SWENSEN STRAWBERRY SHERBET สุดรักก็ตาม กินยังไงมันก็ไม่อร่อยซะเลยกว่าจะหายลิ้นชา คอเจ็บ ก็โน่นเกือบสัปดาห์นึง
ครั้งนี้ ENT อีกตามเคย แม้จะผ่าคนละจุดกันแต่ก็ส่วนหัวอีกแล้ว แต่คราวนี้คงได้มีสำลีแปะหัวกลับบ้านเป็นที่ระลึกแน่ๆ มันจะเจ็บกว่ากันเยอะไหมวะเนี่ย?? แล้วจะอ้วกแตกอีกหรือเปล่า จะคัน จะทรมาณแค่ไหนกันน๊อ
กลัวก็กลัว..
แต่กังวลมากกว่า..
แล้วจะทำไงดีล่ะเนี่ย เป็นคนไข้จะเคลื่อนไหวอะไรเองก็คงลำบาก แล้วไอ้คนเฝ้าจะหวังพี่งมันได้ไหมวะเนี่ยไม่ค่อยแน่ใจว่าไหว้วานคนผิดหรือเปล่า หวังว่าคงไม่ได้เป็นการชักศัตรูเข้าหาตัวเองหรอกนะ จะเอาเจ้าแม่บ้านมาแล้วใครจะหาข้าวหาปลาให้แม่กิน ใครจะดูแลบ้าน เอามามันจะดูเรา หรือเราจะต้องดูมันกันแน่
งานนี้ได้แต่ทำใจอย่างเดียวแล้วว่ะเรา ถ้าโรงบาลไม่ได้มีกฏให้มีคนเฝ้าตลอด แล้วถ้าคนไข้สามารถ discharge ตัวเองกลับบ้านได้มันก็คงจะรู้สึกสบายใจกว่านี้เยอะเลยแต่ว่า.. ทำอย่างนั้นไม่ได้น่ะสิ นี่แหละกฏของโรงพยาบาลของรัฐ หนักใจจริงๆ เลยเว้ย..ยย
เคยคิดว่าเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้น่าจะสบายๆ ได้บ้างแล้วนะ แต่ไหงดูอุปสรรคมันเยอะๆ ยังไงพิกล มันวางแผนจัดการอะไรล่วงหน้าไม่ได้เลย เท่าที่ทำได้ตอนนี้ก็คือเคลียร์งานส่วนที่ต้องรับผิดชอบให้มากที่สุด จะได้ไม่เป็นภาระของใคร ส่วนตัวเองก็คงให้มันเป็นไปตามที่ต้องเป็นล่ะนะ