วันจันทร์, มกราคม 05, 2552

เค้าท์ดาวน์ admission date!!

กลัวๆๆ กลัวเว้ย..ย

ผิดไหมเนี่ยที่จะพูดแบบนี้พอยิ่งใกล้วันที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ความกังวลมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้ใช่มั๊ยที่เค้าเรียกว่ากดดันเนี่ยทั้งที่พยายามจะไม่นึกถึงความรู้สึกนั้น แต่พอมีคนพูดถึงว่า

"แกไม่กลัวเลยเหรอวะ เหมือนเคยชินกับโรงพยาบาลงั้นแหละ"

กลัวสิ (วะ) พี่! แต่พยายามจะไม่คิดถึงมันอ่ะ ใครจะไปชอบอ่ะ เจ็บก็เจ็บ กลัวก็กลัว แม้จะทำเป็นเมิน ไม่สนใจ แต่ลึกๆ มันก็วิตกจริตอยู่พอควรน่ะแหละยิ่งคิดไปใจมันก็ยิ่ง recall memory ในวันผ่าตัดเมื่อคราวก่อนขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อคืนนี้ก็เริ่มมีอาการนอนไม่หลับเข้ามาเยือนอีกแล้ว

...เตียงเย็นๆ ชืดๆ ห้องที่มีแสงไฟกลมๆ สว่างจ้าจนแสบตา อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ปี๊ดๆๆ เต็มไปหมด คนเยอะแยะแต่ไม่คุ้นเคยเลยสักคน ถาด stanless หลายๆ อัน และเจ้านั่น..ฝาครอบยางสีดำๆ มีไอขาวกลิ่นเหม็นแปลกๆ เจอแบบนี้ใครจะไม่กลัวฟะ!!

ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากมาอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นหรอกนะ

นึกถึงการผ่าตัดทอลซิลเมื่อสองปีก่อน ครั้งนั้นก็กังวลนะ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกมาจากห้องผ่าตัดตอนคลอดก็ไม่เคยไปเยือนห้องผ่าตัดมาก่อนเสียความภาคภูมิใจในสุขภาพที่ไม่เคยต้องนอนโรงพยาบาลมาก่อนในชีวิต (หลังจากครั้งนั้นก็เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอีกเพียบ รั้งตำแหน่งไอ้ขี้โรคมาซะเลย เหอๆๆ)

แต่ก็ไม่กลัวเท่าไหร่เพราะมีคนอยู่ด้วยตลอด (ในเวลานั้นยังมีความไว้ใจอยู่มากก็เลยสบายใจไปอย่างหนึ่งว่ามีคนดูแลแน่ๆ คงไม่ทิ้งเราไปไหน ฮือๆๆ) แม้จะกังวลเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อยู่บ้างว่าจะอาจจะเกิดเหตุระเบิดขึ้นกลางโรงพยาบาล 555 จำความรู้สึกได้ว่าช่างแมร่งงงง ตรูก็นอนอยู่ตรงนี้ใครจะทำอะไรก็ทำละกัน หมดปัญญาจะหาทางออกเพราะนอนแซ่วอยู่บนเตียงง่ะ

และแล้วสามวันสองคืนก็ผ่านมาได้อย่างไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แม้จะอ้วกแตกอ้วกแตนตอนกลับมาจากห้องพักฟื้น (คาดว่ายังเมายาสลบอยู่ พอลุกขึ้นนั่งเร็วๆ มันเลยปรับตัวไม่ทัน T_T) แถมยังเจ็บคอจนกินอะไรไม่ได้เลย จนกระทั่งเช้าอีกวันหนึ่ง แม้จะเป็นไอศครีม SWENSEN STRAWBERRY SHERBET สุดรักก็ตาม กินยังไงมันก็ไม่อร่อยซะเลยกว่าจะหายลิ้นชา คอเจ็บ ก็โน่นเกือบสัปดาห์นึง

ครั้งนี้ ENT อีกตามเคย แม้จะผ่าคนละจุดกันแต่ก็ส่วนหัวอีกแล้ว แต่คราวนี้คงได้มีสำลีแปะหัวกลับบ้านเป็นที่ระลึกแน่ๆ มันจะเจ็บกว่ากันเยอะไหมวะเนี่ย?? แล้วจะอ้วกแตกอีกหรือเปล่า จะคัน จะทรมาณแค่ไหนกันน๊อ

กลัวก็กลัว..
แต่กังวลมากกว่า..

แล้วจะทำไงดีล่ะเนี่ย เป็นคนไข้จะเคลื่อนไหวอะไรเองก็คงลำบาก แล้วไอ้คนเฝ้าจะหวังพี่งมันได้ไหมวะเนี่ยไม่ค่อยแน่ใจว่าไหว้วานคนผิดหรือเปล่า หวังว่าคงไม่ได้เป็นการชักศัตรูเข้าหาตัวเองหรอกนะ จะเอาเจ้าแม่บ้านมาแล้วใครจะหาข้าวหาปลาให้แม่กิน ใครจะดูแลบ้าน เอามามันจะดูเรา หรือเราจะต้องดูมันกันแน่
งานนี้ได้แต่ทำใจอย่างเดียวแล้วว่ะเรา ถ้าโรงบาลไม่ได้มีกฏให้มีคนเฝ้าตลอด แล้วถ้าคนไข้สามารถ discharge ตัวเองกลับบ้านได้มันก็คงจะรู้สึกสบายใจกว่านี้เยอะเลยแต่ว่า.. ทำอย่างนั้นไม่ได้น่ะสิ นี่แหละกฏของโรงพยาบาลของรัฐ หนักใจจริงๆ เลยเว้ย..ยย

เคยคิดว่าเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้น่าจะสบายๆ ได้บ้างแล้วนะ แต่ไหงดูอุปสรรคมันเยอะๆ ยังไงพิกล มันวางแผนจัดการอะไรล่วงหน้าไม่ได้เลย เท่าที่ทำได้ตอนนี้ก็คือเคลียร์งานส่วนที่ต้องรับผิดชอบให้มากที่สุด จะได้ไม่เป็นภาระของใคร ส่วนตัวเองก็คงให้มันเป็นไปตามที่ต้องเป็นล่ะนะ

ไม่มีความคิดเห็น: