วันพุธ, ตุลาคม 29, 2551

ท้องก่อนแต่ง ทำแท้ง และเบนโล

หลายวันก่อนได้อ่านกระทู้แนะนำอันหนึ่งของ 1000ทิป เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องท้องก่อนแต่ง ทำแท้ง และเบนโล อะไรประมาณนี้แหละ

จขกท เล่าเรื่องเพื่อนสนิทมาปรึกษาเรื่องทำแท้ง ด้วยความเป็นเพื่อนแม้ไม่เห็นด้วยแต่ก็ช่วยเพื่อน แม้จะผ่านมาเป็นสิบปี แต่ก็ยังรู้สึกผิดมาจนทุกวันนี้ ส่วนความเห็นต่างๆ ก็มาในทำนองเดียวกัน เคยเจอ-เคยเห็น-เคยมีส่วนร่วมกับการทำแท้ง แต่ทุกคนก็พูดเหมือนกัน คือ ไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้

น่าแปลกนะ.. ในเมื่อทุกคนไม่เห็นด้วยกับการทำแท้ง
แต่ทำไมเรื่องทำนองนี้ถึงยังเกิดขึ้นได้เสมอล่ะ??

ไอ้เรื่องมีอะไรกันก่อนแต่งงาน อันนี้ยอมรับว่า สังคมปัจจุบัน คนอายุ 25ปีขึ้นไปน้อยมากที่จะเหลือรอดอยู่ได้ (ที่พูดนี่เพราะชื่นชมนะ) รักสนุก..ทุกข์ถนัด เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ทั้งที่คนเราสมัยนี้การศึกษาก็สูงขึ้น เรื่องการคุมกำเนิดน่าจะเป็นเรื่องที่คนส่วนมากน่าจะพอรู้อยู่บ้างแต่เรื่องการให้ความสำคัญกับการป้องกัน อันนี้ไม่รู้เหมือนกันแฮะ หรือคนเราจะชอบแก้ปัญหามากกว่าป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา??

ช่างมันเถอะ..แต่เรื่องการตัดสินใจหลังจากที่รู้ว่าท้องนี่สิสำคัญ ในเมื่อทุกคนบอกว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ไม่สนับสนุนแล้วทำไมธุรกิจฆ่าคนนี้ถึงได้เปิดอยู่ทุกมุมเมืองเช่นนี้ สังคมประนามกันเข้าไป แต่ก็เห็นว่ามันก็ยังเปิดอยู่ในที่ๆ คนกลุ่มเสี่ยงเข้าถึง

..มือถือสาก ปากถือศีลหรือเปล่านะ..

มีความเห็นอันนึงที่อ่านแล้วติดใจ เค้าบอกว่า "ทางพุทธศาสน์บอกว่า การเกิดนั้นลูกกับพ่อแม่ต้องมีบารมีเสมอกัน มีบุญ/กรรมผูกพันกันจึงจะมาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันได้ การที่คนที่มีพร้อมทุกอย่างแต่มีลูกยาก เป็นเพราะคนที่พร้อมทั้งฐานะทรัพย์สินหน้าที่การงาน การศึกษา ชีวิตคู่ดี เป็นเพราะบารมีที่เคยทำมาทั้งชาติก่อนและในชาตินี้ส่งให้เขาได้อยู่ดีมีสุข แต่เด็กที่จะมาเกิดนั้นหาที่มีบารมีเสมอพ่อแม่ยาก สังเกตได้ว่าคนยุคหลังๆ ทำบุญน้อยลงทำบาปมากขึ้น วิญญาณที่จะไปเกิดกับพ่อแม่ที่มีบารมีน้อยจึงมีมากประดุจแย่งกันมาเกิด ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมพ่อแม่ที่ไม่พร้อมจึงจุดปุ๊ปติดปั๊ป ขนาดป้องกันทุกครั้งเผลอถุงยางรั่วถุง ยางแตกหนเดียวยังอุตส่าห์จะป่อง แต่พ่อแม่ที่พร้อมจะมีลูกพยายามทั้งจุดทั้งเผาไม่มีเปลือกก็ยังไม่ติดซักที"

กับอีกคนบอกว่าเพื่อนเคยช่วยเพื่อนคนนึงทำแท้ง หาสถานที่ ช่วยออกเงิน จัดการให้ทุกอย่าง หลังจากนั้นชีวิตเค้าเจอแต่โชคร้ายมาตลอดคงเพราะฆ่าคนบริสุทธิ์ไป หมอดูบอกว่ามีเด็กเดินตามจะมาเอาชีวิต ก็ได้แต่พยายามทำบุญตักบาตร ขออโหสิกรรม ก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะดีขึ้นไหม

ที่จริงสังคมนี้คงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเยอะนะ แต่ไม่มีใครเอามาเปิดเผยให้คนภายนอกรู้เท่าไหร่นัก แต่พอเป็นโลก CYBER ซึ่งคนไม่ได้รู้จักกันในชีวิตจริง เรื่องต่างๆ ก็เลยพรั่งพรูออกมาเต็มที่เปิดโอกาสให้มีการพูดถึงกันอย่างเสรี

ถามตัวเอง ไม่เคยมีคนมาปรึกษาเรื่องนี้นะ..
ตอนมัธยมก็สนิทกับผู้ใหญ่เลยไม่ค่อยรู้เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของวัยรุ่นเท่าไหร่ แต่ด้วยความน่ารัก หน้าตาดี (แหะๆ ขอชมสักนิดเถอะ) ก็มีกิ๊กเด็กๆ กับเค้าเหมือนกัน เรียนด้วยกัน กินข้าวกลางวันด้วยกัน มีดอกไม้วาเลนไทน์ให้ตามสมัยนิยม ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยได้สัมผัสความรักลึกซึ้งกับใครเค้าหรอก ช่วงนั้นกลัวผู้ชาย 555 พอโตขึ้นหน่อยก็สนิทกับเพื่อนทั้งหญิงชาย ซึ่งทุกคนโสด (ไม่มีใครเอา) มันก็เลยไม่มีเรื่องอย่างนี้อีกเหมือนกันจนมาถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีเพื่อนสนิทสักคนที่ท้องในวัยเรียน (ก็ไม่น่ามีแล้วล่ะ อายุตั้งเท่าไหร่แล้วล่ะเนี่ย)

เพราะงั้นถ้าจะถามว่าจะทำยังไงถ้ามีคนมาปรึกษา ก็คงได้แต่บอกว่าไม่รู้ ไม่เห็นแหละ ไม่อยากช่วยใครทำบาป อีกอย่าง ถ้าเป็นวัยนี้จริงๆ ถ้าเกิดมันท้องกันขึ้นมาก็แต่งๆ ไปซะเถอะจะแตะเลข 3 กันอยู่แล้วนี่โตพอที่จะเป็นพ่อแม่คนได้แล้วจริงไหม ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองว่าข้ายังเด็กตลอดเวลาอ่ะนะ

พูดก็พูดเถอะ ก็มีนะ ที่เราไม่คิดว่าเค้าจะเคยทำ และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ชีวิตรักไม่ค่อยราบรื่น ครอบครัวแตกแยกเคยถามแบบผิวๆ ว่าทำไมตอนนั้นถึงตัดสินใจอย่างนั้น ทั้งที่คนที่ท้องด้วยในตอนนั้น กับคนที่เป็นพ่อของลูกคนถัดมา ก็คือคนๆ เดียวกัน

คำตอบที่ได้ก็คือ ไม่พร้อม ยังเรียนอยู่ ยังมีไม่ได้

อืม.. บอกตรงๆ ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าถามต่อไปได้แต่เก็บไว้ในใจคนเดียว
แล้วก็เอามาคิดคนเดียวว่า ถ้าเป็นตัวเราเอง (หวังว่า) เราคงไม่ตัดสินใจอย่างนั้นนะ

เฮ้อ.. จะเป็นยังไงนะ ถ้าเรามีพี่ชายอีกคน หรือว่า ถ้าเค้าได้เกิดมามันอาจจะไม่มีเราในวันนี้ก็เป็นได้นะ

อึดอัด (ด้วยคน) โว้ย..ย!!

ชิ ชิ ชิ

หมั่นไส้คนบางคนชะมัดรู้ทันไปซะทุกเรื่อง
แล้วยังมาแกล้งพูดอย่างนั้นอย่างนี้อีกอ่ะ
ชอบทำเหมือนเราเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย..

คิดอะไรก็พูดออกมาสิคะ ทำเป็นอมพะนำอยู่ได้
ไอ้ตัวชั้นก็เหมือนหมาเลย ยืนลิ้นห้อย น้ำลายหยด กระดิกหางอย่างมีความหวัง
รอคอย "เนื้อติดกระดูก" ลมๆ แล้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะมีวันได้กินหรือเปล่า
กลัวใจจริงจริ๊ง ว่าไอ้ที่ได้มามันคือกระดูกแห้งๆ ที่กินไม่ได้อ่ะ

ใช่สิ!
เรื่องของเราทุกอย่างก็เปิดเผยหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องค้นหาอีกต่อไป
ตอนนี้ตัวเปล่าๆ โล่งๆ รู้สึกเคว้งคว้างพิกล เหมือนกับตัวเองไม่มีค่า ไม่มีความน่าสนใจเท่าไหร่

...นี่ความเคารพตัวเองลดลงหรือเปล่าวะเรา??
(ขนาดตัวเองยังคิดอย่างนี้ แล้วคนอื่นเค้าจะคิดยังไงล่ะ)
น่าสมเพชไปหน่อยไหมเนี่ย

แต่มันน่าคิดก็ตรงที่ว่า เราสิที่แทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเค้าเลย ..คิดอะไร ..ทำอะไร
ทั้งที่เมื่อก่อน เราว่าเราก็พอจะเข้าใจเค้าอยู่นะ แต่มาวันนี้เหมือนมองอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
วันๆ ก็ได้แต่ลุ้นล่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

อึดอัดจัง.........

ยิ่ง'เด็จพี่พูดว่า "เค้าดีนะ"

เหรอพี่... งั้นมั๊งคะ...
แล้วดียังไงล่ะ หนูยังไม่รู้เลยว่าเค้าคิดยังไงอ่ะ
........


ไม่ชอบความรู้สึกอย่างนี้เลย

วันอังคาร, ตุลาคม 28, 2551

ทริปเขาค้อ (รูปตามมาทีหลังนะ)

เพิ่งกลับจากทริปภูเขาเมื่อวันก่อน ที่จริงแพลนจะไปแค่ 23-25 ตค และแค่เขาค้อเท่านั้น แต่ดันไปนั่งรถคนร้อนวิชากับคนชอบเที่ยวเลยต้องจับพลัดจับผลูไปภูทับเบิกซะอีก 1 คืนโปรแกรมวันหยุดเลยเปลี่ยนแปลงหมดเลย -_-" แต่ก็ไม่เป็นไร คนโสดทำอะไรก้อได้นี่นะ ๕๕๕ แต่ถึงงั้นก็เหอะมันก็อดไม่ได้ที่จะแจ้งให้บุคคลสำคัญทั้งหลายทราบโดยทั่วกัน ว่าท่านไม่สามารถติดต่อข้าพเจ้าได้เพราะไม่มีคลื่น บ่ใช่ ปิดเครื่องหนี หรือตกเขาตายแต่อย่างใดคือเค้าอยากรู้หรือเปล่าไม่รู้แหละ แต่เราอยากบอกอ่ะ

จากตอนแรกเขาค้อที่ไม่มีความหนาวเอาซะเลย มีอากาศเย็นนิดหน่อย ตอนวันที่ 2-3 ที่มีฝนตกแล้วลมแรงมากๆ เท่านั้น แต่รวมๆ แล้วก็เหงื่อซึมน่ะแหละ ไปท่องเที่ยวก็หลายที่อยู่ เดินทางช้าเพราะขบวนตั้ง 21 คัน ที่จริงมีแฝงเป็น car pull อีกไม่น่าจะต่ำกว่าครึ่งนึงล่ะมั๊ง ถ้ามาหมดก็คงไม่ต้องไปไหนกันพอดีพี่ลอเจ้าถิ่นก็พยายามอัดโปรแกรมเที่ยว ด้วยคำว่า "2 กิโล" ตลอดกาลไม่ว่ามันจะไกลสักแค่ไหน แต่ก็สนุกดีนะ เหนื่อยนั่งรถแต่ก็มีอะไรทำไม่งั้นคงนั่งเซ็งอยู่กรุงเทพคนเดียวเขาค้อวิวสวยทีเดียว ถ้าเป็นคน "รัก" ธรรมชาติก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้ เราเองน่ะแค่ "ชอบ" มันก็เลยไม่ได้อินสักเท่าไหร่ ถือซะว่าเปลี่ยนบรรยากาศแล้วก็มีเพื่อนคุยมันก็โอเคอยู่นะ

วันแรก กินข้าวกลางวันที่วิเชียรบุรี ไก่ย่างร้านอะไรสักอย่างนี่แหละ เปลี่ยนจากร้านเดิมเพราะคนเยอะจัด หาที่ลงกันไม่ได้ และเค้าไม่รับจองวันหยุดด้วยรสชาติก็งั้นๆ ออกเดินทางต่อสู่มิตซูฯ เพชรบูรณ์ ช่วยโฆษณาให้ด้วยการขับรถวนรอบเมืองก่อน 1 รอบ (เพื่อไรวะเนี่ย) แล้วก็ต้องไปนั่งหง่าวรอรถเสียอยู่คันนึง กว่าจะออกเดินทางอีกทีก็เย็นย่ำ แวะกินกาแฟที่ Coffee Hill ซะก่อน 1 รอบ บรรยากาศเริ่มเย็นๆ แต่แป๊ปเดียวก็มืดแล้ว ก็ย้ายขบวนกันต่อไปยังโรงแรม

เก็บกระเป๋าที่โรงแรมแล้วก็ออกไปกินข้าวกันสถานที่ก็ดีนะ เหมือนจัดปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำเล็กๆ นั่งฟังเพลงชิลชิล คิดถึงใครบางคน พอโทรไปหาเค้าก็ร้องไห้ซะ 1 รอบ ก่อนจะทนความงี่เง่าของตัวเองไม่ไหวต้องห้ามใจตัวเองซะอีกกลับไปก็นั่งเขียนไดอารี่อยู่คนเดียวจนง่วงถึงจะนอน

วันที่สอง ตื่นตั้งแต่ตีห้ากว่า เพราะรูทเมทมันดันไม่อาบน้ำอีกรอบตอนเย็นเลยรวบมาอาบเช้า แล้วก็ต้องตื่นมาอาบต่อจากมัน เดินออกไปดูลมยามเช้า กว่าจะออกไป coffee hill อีกครั้งเพื่อไปถ่ายรูปทะเลหมอกที่เห็นเป็นหย่อมๆ เท่านั้นแล้วก็กลับที่พักล้างหน้าล้างตา ไปกิน ABF ก่อนจะรวมตัวไปทำกิจกรรมภาคเช้าอีกที ไปไหว้พระธาตุ (ชื่อไรไม่รู้) ตีระฆังแถวยาวๆ แล้วก็ไปน้ำตกศรีดิษฐ์ จากนั้นข้าวกลางวันที่ไร่จันทร์แรม บรรยากาศดีมากอาหารก็อร่อย ^^

สาหัสที่สุดก็ทับเบิกนี่แหละ มาตัดสินใจกันที่ปั๊ม LPG ตอนเกือบ 5 โมงเย็น กว่าจะขับขึ้นเขาอากินะไปถึงด้านบนตรงโค้งกะหล่ำก็เย็นย่ำแล้ว แต่ก็มีความสุขกับอากาศเริ่มเย็นสมใจพบพลบค่ำเท่านั้นแหละ หมอกหนามาก..ก มืดก็มืด คน 9 คนกะไก่ทอด+ข้าวเหนียว นั่งให้ลมโกรกจนแฉะไปทั้งหัว มันก็สะใจไปอีกแบบนึงนะ สงสารก็แต่พี่ป้อม หนุ่มใหญ่เป็นเก๊าส์แต่ต้องกินไก่เพราะไม่มีทางเลือกยิ่งดึก ลมยิ่งแรง พอฝนตกอีกยิ่งแย่ไปกันใหญ่ ตัวชื้นๆ เขาไปหลบฝนในร้านขายของ รู้สึกเหมือนอยู่ในหนังเรื่อง The Mist เลยอ่ะเต้นท์ที่จองเอาไว้ก็ไม่ได้ใช้ เพราะฝนตกจนดินแฉะขืนยังดิ้นรนจะไปนอน นอกจากจะต้องเดินขึ้นเขาเละๆ มืดๆ แล้ว อาจต้องนอนพื้นเปียกๆ ให้ปอดบวมอีกด้วย

ในที่สุดก็คิดกันได้ว่านอนในรถนี่แหละเข้าท่าสุดแล้ว มี 9 คนกะรถ 3 คันแบ่งๆ กันไป3คู่ กับ 3ตัวเกิน (เราก็หนึ่งในสามนั่นแหละ) หยกกับออยมีเรือกลไฟอย่างพี่ป้อม พี่วัสกับอ้อมก็มีพี่ต้นรัก ส่วนเราไปเป็นพยานรักของพี่หนึ่งกับพรรณ เห็นเค้านั่งลูบหัวกันในรถ เฮ้อออ เมื่อไหร่จะมีอย่างนี้กะเค้ามั่งนะเราไม่น่าเชื่อ แต่รถที่แง้มหน้าต่างนิดๆ สามารถทำให้คน 3 คน โคตรหนาวได้เลย ก็ทั้งลม ทั้งฝนสาดซัดเข้าไปทั้งคืนหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน ทั้งไม่สบายตัว ทั้งหนาว ไม่ได้ทรมาณอย่างนี้มานานมากแล้วนะเนี่ย แต่ก็ดีใจที่มีชีวิตรอดอยู่ได้ 555

วันที่สามตื่นเพราะทนปวดฉี่ไม่ไหว อั้นมาตั้งแต่ตีสองจนสว่างนั่นแหละถึงจะกล้าเดินออกมาจากรถทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ออกมานั่งตากน้ำค้างกันอีกพักใหญ่ ก่อนจะได้โอวัลตินร้อน กับโจ๊กคัพ ช่วยชีวิตไว้นั่งดูฟ้าอยู่ 2-3 ชั่วโมงไม่มีทีท่าจะดีขึ้นเลย ก็เลยเตรียมพร้อมออกเดินทางไปสู่ยอดเขา ซึ่งไปถึงก็เจอแต่หมอกๆๆ ลมๆๆ และผัก!!

ฟักแม้ว กะหล่ำ แครอต มีอยู่ 3 อย่างนี่แหละที่ขายมันทุกร้าน

ไปยืนตากลมถ่ายรูปกันพักนึง จนท.เค้าก็บอกว่าไปต่อไม่ได้ เพราะรถเก๋งไม่สามารถผ่านทางที่เป็นหลุมลึกระดับศอกไปได้ถ้าจะไปภูหินร่องกล้าต้องลงเขาไปเพื่อไปขึ้นจากอีกทางหนึ่ง ในที่สุดก็ลงมาตกลงกันข้างล่างว่ากลับดีกว่า (เห็นด้วย!!!)

ขากลับแวะกินไก่ย่างที่วิเชียรฯอีกที แล้วก็ขับรถกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางท็อปปิกในการคุยเป็นเรื่องของพี่เจตกะพี่ฝ้ายซะเป็นส่วนใหญ่ไม่อยากเชื่อว่าพี่เจตจะมีคนอื่น ส่วนพี่ฝ้ายก็ไม่อยากเชื่อว่าจะเลิกโหดแล้วปล่อยให้เลือกเลย พอมีลูกแล้วความคิดก็เปลี่ยนนะผู้หญิงรักลูกมาก จะฆ่าผู้ชายตายก็กลัวว่าลูกจะไม่มีใครเลี้ยง ส่วนพ่อมันติดหญิงจนลืมลูกแล้วมั๊งเนี่ย เฮ้อ..อ

พี่ป้อมบอกว่า ผู้ชายแคร์เรื่อง sex มาก เมื่อภรรยาไม่ยอมมีอะไรด้วย แต่มีผู้หญิงอื่นมาติด มันก็เลยไปผูกพันทางโน้น

เรื่องมันเศร้าเนอะ สุขเพราะรัก แล้วก็ทุกข์เพราะรัก..

วันพุธ, ตุลาคม 22, 2551

นับถอยหลัง..สู่เขาค้อ..

ลัลลา...

พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวแล้ว เราไม่ได้ออกไปตจว. มาตั้งหลายเดือน แล้วยิ่งคราวนี้เหมือนๆ จะเดินทางคนเดียวเสียด้วย จากตอนแรกรู้สึกเฉยๆ จนตอนนี้อดตื่นเต้นไม่ได้แฮะ ทริปนี้ที่จริงก็ไปกันเยอะนะ เท่าที่รู้ออกจากกทม.พร้อมกันก็น่าจะ 50 กว่าคนขึ้นไปแล้ว แต่เอาที่รู้จักจริงๆ ก็คงแค่ 10-20คน แต่ก็ช่างเหอะ ใจจริงก็คืออยากไปสัมผัสธรรมชาติบ้างน่ะ คงจะดีที่ได้สูดอากาศดีๆ บรรยากาศสงบๆ บนยอดเขาตอนเช้า

ในชีวิตไปเที่ยวแนวธรรมชาติมาก็เยอะนะ แต่ไม่รู้ทำไมที่พอจะจดจำรายละเอียดได้บ้างกลับมีแค่ไม่กี่ที่เท่านั้นเอง

..น้ำตกขุนกรณ์ที่เชียงราย.. เดินไปตั้งไกลกว่าจะถึงน้ำตก พื้นก็ทั้งแฉะทั้งลื่น หนาวก็หนาว แต่ก็สวยดี เค้าว่ากันว่าเหมือนไนแองการา ฟอลล์นะ

..ภูกระดึง จ.เลย.. ไปกับเพื่อนสมัยเรียน เดินกันแทบตายไปข้างหนึ่ง ปวดขาก็ปวด หนาวก็หนาว ทรมาณ แต่ก็สนุกที่มีเพื่อน แต่ให้ไปอีกคงไม่เอาแล้วอ่ะ

..ภูตะวัน โคราช.. ไปดูฝนดาวตกสมัยปีสี่ ขับรถไปเองตอนเลิกเรียน รถก็แสนจะติด ไปนอนตากน้ำค้างทั้งคืนเห็นอยู่ไม่กี่ดวง แถมต้องรีบตีรถกลับมาเรียนตอนเช้าอีก

..ศุภาลัย ป่าสัก.. ก็ร่มรื่นดี แม้สถานที่ดูจะเก่าไปสักหน่อย แต่ก็มีความสุขกับทริปนั้น ^^ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเมาหัวทิ่มหัวตำอยู่คนเดียว ไปท้าเค้ากินเหล้าแท้ๆ แพ้กระจาย -*-

แต่ที่จำได้ไม่มีวันลืม ก็คงเป็น "xxx" เป็นทริปเดียวที่นึกถึงทีไรก็ต้องอมยิ้มตามไปด้วยทุกที ไม่บอกหรอก ขอเอาไว้คิดถึงคนเดียวละกัน^^

หวังว่าคราวนี้คงได้ไปท่องเที่ยวอย่างมีความสุขนะ อาจจะเหงาไปสักหน่อย แต่ก็จะพยายามไม่คิดมากดีกว่า เดี๋ยวเศร้ามากแล้วมันจะไม่สนุกเอาได้ ไว้กลับมาแล้วจะเอารูปมาแปะประจาน เอ้ย โชว์ให้ดูจ้ะ

วันจันทร์, ตุลาคม 20, 2551

รัก หรือ ไม่รัก??

"I'll try my best not to love you"
ประโยคสั้นๆ ที่พิมพ์ออกไปเมื่อคืน บอกไม่ถูกรู้แต่ว่ามันอึดอัดใจ ในเมื่อรักเค้าแล้วเค้าไม่ตอบรับหรือปฏิเสธสักอย่าง แล้วจะให้คิดอย่างไร คิดจะทำอะไรมันก็ไม่มีเรี่ยวแรงไปซะหมด เพราะมันใช้ความอดทนไปกับการรอคอยซะหมด

อยากจะห้ามใจตัวเองไม่ให้รักเค้าแล้ว ขอเสียใจให้เต็มที่แล้วจะไม่คาดหวังกับรักอีกต่อไป ต้องพยายามคิดซะว่าไม่มีรัก มันก็คงไม่ตาย ทำใจซะเถอะว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่ออยู่คนเดียว ก็เพราะรู้ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ ถึงได้ไม่อยากจะให้โอกาสใครเข้ามาในใจ แล้วไงล่ะ พอตัดสินใจพลาดครั้งหนึ่ง มันก็จะพลาดไปหลายๆ อย่างพร้อมกัน กะทับถมให้หมดความรู้สึกไปเลยรึไง

ถ้าการรักใครสักคน แล้วมันทำให้เกิดความคาดหวังจากความรักและคนรัก มันก็คงผิดตั้งแต่คิดจะรักแล้วล่ะ การไม่รักเสียเลยคงเป็นอีกทางที่ดีกว่า บอกตัวเองให้เข้าใจเสียทีว่าไม่มีความรักอีกต่อไป เจ็บหนักๆ จะได้ทำใจได้เสียที ต่อไปจะได้ไม่ยอมให้ใครมามีอิทธิพลต่อชีวิตเราอีก ชั้นจะไม่รักใครอีกแล้ว จะกลับไปเหมือนเมื่อก่อน ปิดประตูหัวใจจากทุกๆ คน หัวใจช้ำๆ จะได้ไม่ต้องมาเจ็บเพราะความรักอีกต่อไป

ฟังๆ ดูอาจจะมองว่าทำตัวไร้สาระหรือคิดอะไรที่ไร้ประโยชน์ อายุขนาดนี้ไม่น่าจะมาคิดเรื่องนี้มากๆ ให้เสียเวลาทำการทำงาน จริงอยู่ที่เรื่องพรรค์นี้มันไม่ได้ทำให้คนเรารวยขึ้น หรือมีอนาคตที่สดใสขึ้นมา และไม่มีประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ ทั้งสิ้น แต่คนเราก็ต้องการความรักไม่ใช่หรือ หรือว่าคุณไม่เคยจะคิดสักครั้งในชีวิตว่าจะมีใครสักคนที่เป็นของเราจริงๆ ???

รู้ตัวค่ะ ว่าไม่ใช่เด็กแล้ว แค่เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ที่เคยตัดสินใจผิดๆ ลงไป แล้ววันนี้กลับมาคิดได้ก็แค่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับผู้ชายสักคนที่รักจริง และพร้อมจะอยู่เคียงข้างเท่านั้นเอง แต่ในเมื่อมันไม่ใช่จังหวะก็คงต้องทำใจยอมรับความจริงที่เป็นอยู่

ที่จริงก็เข้าใจนะว่าอยากให้เข้มแข็ง ยืนได้ด้วยตัวเอง แต่บอกกันดีๆ ก็ได้ นิ่งๆ เงียบๆ อย่างนี้มันทำตัวไม่ถูกเลย คงไม่เข้าใจสิคะว่าคนที่อยู่ในสถานภาพคลุมเครืออย่างนี้รู้สึกยังไง "เหมือนๆ จะรัก แต่ก็ไม่รัก"

ตกลงที่มาดีด้วย มาดูแล นี่เพราะห่วงใยในฐานะน้องเท่านั้นใช่ไหม ถ้าคิดแค่นั้นจะได้คิดเหมือนกันว่าเป็นพี่ชายจริงๆ จะตัดความรู้สึกรักๆ ใคร่ๆ ออกไป แล้วจะเป็นพี่น้องจริงๆ เหมือนเมื่อก่อนจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องมีการงอน การโกรธกันอีก




ไม่แฟร์เลย คุณรู้ทุกอย่างว่าชั้นคิด รู้ทุกอย่างว่าชั้นต้องการอะไร แต่คุณก็ไม่พูด ไม่แสดงออกอะไรทั้งนั้น นิ่งสยบเคลื่อนไหว มันคาดเดาไม่ได้ว่าคุณคิดอย่างไรช่วยทำให้มันเคลียร์หน่อยได้ไหมคะ จะให้รอ.. หรือจะให้ตัดใจ..

กำลังใจในชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน
คนบางคน.. สามารถสร้างกำลังใจได้ด้วยตัวเอง
แต่คนบางคน.. ต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากคนใกล้ชิด

ถ้าไม่มีใจจะรัก ก็อย่ามาดีด้วยเลยค่ะ มันทรมาณจริงๆ

วันศุกร์, ตุลาคม 17, 2551

~~โลกจิต~~

ผลพวงจากมรสุมชีวิต ที่ทำให้ต้องฝากกระเพาะไว้กับชาวบ้านตลอดสัปดาห์ หรือถ้าจะให้เห็นภาพก็คือ ลูกนก (น่ารักเกินไปไหมเนี่ย) ที่รอให้แม่เอาเหยื่อมาป้อนน่ะแหละ ออฟฟิศก็โคตรเงียบ มืดๆ ทึมๆ แทนที่จะนั่งตั้งตารอข้าวซึ่งยิ่งไป concentrate มันก็ยิ่งรู้สึกว่ามันนาน มานั่งคิดข้อดี-ข้อเสีย ของการนั่งอ้วนอยู่ข้าวบนอย่างนี้ดีกว่า
ข้อดีคือ ไม่ต้องตากแดดร้อนให้ตัวดำ ไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ไม่ต้องเหงื่อซ่ก และไม่... อะไรที่มันไม่ดีน่ะแหละ
ส่วนข้อเสีย มีข้อเดียวที่พบในตอนนี้คือ แมร่ง...งหิวฉิบ -_-"

นั่งไปแล้วก็เครียด ระหว่างเดินเอาเอกสารไปโยนใส่โต๊ะชาวบ้านพลันเหลือบไปเห็น "โลกจิต" หนังสืออะไรวะชื่อแปลกๆ อดใจไม่ไหวที่จะหยิบมาดู แล้วยิ่งเห็นชื่อคนเขียนด้วยแล้วทำให้ต้องเปิดอ่านอยู่ตรงนั้น เจ้าของความคิดแปลกๆ นั้นมันใช่ใคร นอกจาก "ไอ้แมว" นักวิทยาศาสตร์สุดประหลาดในสายตาเพื่อนๆ อย่างพวกเรา นึกออกไหมว่าเค้าเป็นใคร~~ ร

นายคนนี้ เมื่อก่อน คนอื่นรู้จักเค้าในนาม "ลูกจิรนันท์ พิตรปรีชา กับ เสกสรร ประเสริฐกุล" คนดังแห่งประชาธิปไตย ซึ่ง "ไอ้แมว" หรือ "คุณแทนไท" หรือ "ช้าง" (ชื่อเล่นจริงๆ) มันก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่หรอก เพราะมีแต่คนจ้องมองตลอดเวลา โตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มดังด้วยความเก่งตัวเอง ในฐานะเด็กชีวโอลิมปิก ผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง ครอบครัว โรงเรียน และประเทศชาติ จากนั้นก็ไม่ได้เจอมันอีกเป็นเวลานานมากๆ แต่ก็พอได้ยินเรื่องราวของเพื่อนๆ ผู้พบเห็นมันเป็นระยะๆ จากการนัดกินข้าวกัน ซึ่งไอ้แมวก็ไปทุกทีที่ว่าง แต่ไม่รู้เป็นไร ดวงเราแคล้วคลาดกะมันจริงๆ เพราะมันไปเราไม่ได้ไป พอเราไปมันก็ไม่ไป 555

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ หลายต่อหลายเรื่องเล่าที่ได้ยินมาช่างแสดงความเป็นตัวตนของไอ้แมวจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นเกมส์อัฉริยะข้ามคืน ตอนที่มันโคตรหิว แต่ไม่กล้ากินข้าวกล่องที่ทางรายการให้มาเพราะคิดว่าต้องเอาไว้ใช้เล่นเกมส์ หรือแม้แต่งานวิจัยของมันทำหัวข้อเกี่ยวกับการวิจัยพฤติกรรมทางเพศของปลาหมึก!! คิดได้ไงวะเนี่ย แอบไปส่องปลาหมึกตอนกลางคืน เพื่อมีส่วนร่วมในความสุขของมัน -_-"

เท่าที่รู้มานอกจากนี้แล้วยังมีงานอื่นๆ อีกมากมายที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วเช่น เป็นอาจารย์สอนชีววิทยาให้กับเด็กโรงเรียนคอนแวนต์หญิงล้วน เขียนหนังสือขาย เป็นพิธีกรรายการเกมส์โชว์ร่วมกับน้องชายสุดหล่อ (ไม่รู้เป็นพี่น้องกันได้ไง น้องสิงห์นี่ก็หล่อซ้าส์)

เพิ่งมีโอกาสได้อ่านหนังสือที่ไอ้แมวเขียน เปิดปุ๊ปก็ขำปั๊ป เพราะตัวหนังลือเหล่านั้นมันช่างสะท้อนความเป็นตัวตนของมันจริงๆ คำพูดกวนๆ ตลกๆ หรือวิทยาศาสตร์แบบสุดตีนของมัน ซึ่งแม้จะทะลึ่งปนหยาบแต่อ่านแล้วก็เพลินดี เหมือนกับได้นั่งคุยอยู่ต่อหน้ากัน มิน่าล่ะ หนังลือถึงได้ติดอันดับขายดีได้อย่างทุกวันนี้ และในความไร้สาระก็ยังมีสาระความรู้อีกมากมาย หากอ่านแล้วคิดตามก็คงได้ความรู้ติดหัวไปไม่มากก็น้อย ดูจาก abstract ข้างหลังหนังสือที่อ้างอิงถึงข้อมูลที่มีประโยชน์อีกมากมาย ทำให้รู้ว่ามันยากนะ ที่จะเขียนสาระหนักๆ ให้ไม่น่าเบื่อ
...เรานับถือนายจริงๆ ว่ะแมว..

(ตัวอย่างคำพูดจากเว็บโลกจิต)
ของทุกสิ่งในโลกนี้ย่อมมีที่มา ความขี้หึงก็น่าจะเหมือนกัน มันน่าจะต้องมีที่มาจากที่ใดสักแห่งศาสตร์ที่พยายามศึกษาประวัติความเป็นมาของสัญชาติญาณต่างๆ ซึ่งหยั่งรากอยู่ในจิตใจมนุษย์ มีชื่อว่า Evolutionary Psychology หรือ จิตวิทยาวิวัฒนาการ ทฤษฏีซึ่งเป็นแก่นของวิชานี้เข้าใจได้ไม่ยาก กล่าวคือ สัญชาติญาณใดๆ ก็ตาม ถ้ามันจะถูกส่งผ่านรุ่นต่อรุ่นมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็แสดงว่ามันน่าจะต้องเคยมีประโยชน์ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งต่อการอยู่รอดและสืบพันธุ์ของบรรพบุรุษของเรามาก่อน มิเช่นนั้น มันก็คงจะหายสาบสูญไปนานแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น สัญชาติญาณกลัวความมืด หรือกลัวความเจ็บ สมัยก่อน มนุษย์วานรตนใดก็ตามที่เกิดมาแล้ว มีสัญชาตญาณชอบออกไปเดินเล่นนอกถ้ำในคืนเดือนมืด ชอบเอาหัวโขกหินผา หรือชอบเอาไม้ไปแหย่ไข่แมมม็อธ พวกนั้นคงตายตั้งแต่อายุไม่ถึง 12 คงไม่ได้มีโอกาสเติบใหญ่ทิ้งลูกทิ้งหลานเอาไว้มากนัก และไอ้สัญชาตญาณไม่รู้จักกลัวก็คงจะตายไปพร้อมๆ กับตัวของพวกมันด้วย ผิดกับพวกที่กลัวมืด กลัวเจ็บ ซึ่งมีโอกาสได้อยู่รอดสืบทอดสัญชาตญาณความกลัวนั้นผ่านไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปๆๆๆ อีกที ทั้งหมดนี้สามารถจินตนาการได้ไม่ยาก

เรื่องบางอย่างอาจชัดเจนน้อยกว่านี้หน่อย เช่น
ทำไมโดยธรรมชาติ ผู้ชายถึงชอบผู้หญิงเอ๊าะๆ เอวคอดๆ สะโพกใหญ่ๆ?

อันนี้จิตวิทยาวิวัฒนาการก็อาจจะบอกว่า เป็นเพราะลักษณะเหล่านี้บ่งบอกถึงความเป็นแม่พันธุ์ที่ดี มีลูกออกมาแล้วมีโอกาสที่จะสมบูรณ์แข็งแรงมากกว่า (อันนี้มีข้อมูลสนับสนุนว่าเป็นจริง เอาง่ายๆ คนทั่วไปก็รู้กันอยู่ว่า ผู้หญิงยิ่งมีลูกตอนแก่เท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสแท็งค์ง่ายขึ้นเท่านั้น) ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงกลับไม่ค่อยแคร์เรื่องอายุรูปร่างหน้าตาของผู้ชายมากเท่ากับเรื่องนิสัย ความรวย หรือสถานะทางสังคม นั่นก็อาจจะเป็นเพราะ รูปร่างกับอายุของผู้ชาย อาจจะไม่ได้สัมพันธ์กับความเป็นพ่อพันธุ์ที่ดีสักเท่าไหร่ ผู้ชายอย่างเราต่อให้แก่อายุ 60 หรืออ้วน 100 โล ก็น่าจะสามารถผลิตเสปิร์มได้วันนึงเป็นร้อยๆ ล้าน เหมือนๆ กัน ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงจึงวิวัฒนาการขึ้นมามีความสนใจในสิ่งอื่นๆ ที่น่าจะสำคัญกว่า อย่างเช่นลักษณะที่บ่งบอกถึงความเป็นสามีและพ่อที่ดีในอนาคต อะไรทำนองนั้น

สิ่งที่ควรจะพึงระวังเวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของทฤษฏีจิตวิทยาวิวัฒนาการ อย่างที่หนึ่ง เหตุผลที่เป็นต้นกำเนิดก่อให้เกิดวิวัฒนาการของสัญชาตญาณอันใดอันหนึ่งขึ้นมา อาจจะเป็นจริงในยุคสมัยหลายล้านปีก่อนซึ่งเป็นช่วงที่คนเรามีเวลานานที่สุดในการสะสมความเปลี่ยนแปลง แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นจริงในโลกทุกวันนี้ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนนู้น ผู้หญิงอายุเกิน 30 ไปแล้วอาจจะมีโอกาสแท้งลูกสูงมาก ผู้ชายที่ชอบเอ๊าะๆ ก็เลยได้เปรียบทางการสืบพันธุ์เหนือชายที่ชอบแบบอื่น ทุกวันนี้การแพทย์เจริญรุดหน้า ผู้หญิงวัย 30 กว่าๆ สามารถคลอดลูกได้อย่างปลอดภัยไม่เหมือนก่อน แต่ปรากฏว่าผู้ชายก็ยังมีสัญชาตญาณชอบเด็กๆ อยู่เหมือนเดิม เพราะซอฟแวร์มันอัพเดทตามโลกสมัยใหม่ไม่ทันนั่นเอง (เหตุผลเดียวกับตอน ‘ไอ้อ้วน‘) นี่ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีคุมกำเนิด ทำให้เรื่องเซ็กส์ไม่จำเป็นต้องผูกติดอยู่กับเรื่องสืบพันธุ์เสมอไป แต่ทว่าสัญชาตญาณต่างๆ เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ก็ยังคงดำรงอยู่เหมือนเดิม

คนอาจจะกระทำตามสัญชาตญาณอันใดอันหนึ่ง แต่ในหัวของเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องคิดตามเหตุผลซึ่งเป็นที่มาที่แท้จริงทางวิวัฒนาการของสัญชาตญาณนั้นๆ ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายเวลาเห็นสาวๆ หุ่นดี ในหัวอาจจะคิดว่า “อู๋ว เซ็กซี่จัง” แต่คงไม่มีใครคิดถึงขั้นว่า “อู๋ว อายุเท่านี้ รูปร่างแบบนี้แหละ อัตราการแท้งลูกต่ำสุด น่าสืบพันธุ์ด้วยจริงๆ” ผู้หญิงก็เหมือนกัน คงไม่มีใครมานั่งคิดว่า “อู๋ว อาเสี่ยถึงจะอ้วนและแก่ก็ไม่เป็นไรหรอก อัณฑะคงยังผลิตเสปิร์มได้เยอะอยู่ ที่สำคัญคือเขามีทรัพยากรเพียงพอที่จะเลี้ยงลูกเราได้ต่างหาก อย่างนี้สิ น่าจับมาทำผัวจริงๆ”

วกมาถึงเรื่องความขี้หึง.. ในมนุษย์เรา ความสัมพันธ์อันดีที่มั่นคงยาวนานระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง นับว่าจำเป็นยิ่ง ต่อความสำเร็จในการเลี้ยงดูลูกให้สามารถอยู่รอดเติบใหญ่ เช่นนี้แล้ว สัญชาตญาณอย่างความขี้หึง ซึ่งคอยช่วยสอดส่องตรวจตรา ปกป้องความสัมพันธ์ปัจจุบันไม่ให้หลุดไปอยู่ในกำมือของบุคคลที่สาม ก็น่าจะเป็นอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบทอดพันธุกรรมของบรรพบุรุษของเราอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายที่โดยสัญชาตญาณไม่ขี้หึงเลย ใจกว้างปล่อยให้เมียของตัวเองไปมีอะไรกับใครเมื่อไหร่ก็ได้ ในสมัยยุคดึกดำบรรพ์ก็อาจจะมีอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาคงไม่ใช่บรรพบุรุษของพวกเรา เพราะลูกที่เกิดมาคงจะเป็นลูกของชู้ซะมากกว่า

จะว่าไป มีจุดที่น่าสนใจมากอยู่จุดหนึ่ง ชายและหญิงมีข้อแตกต่างสำคัญยิ่ง คือผู้หญิงเท่านั้นที่เป็นฝ่ายตั้งท้อง ทฤษฏีจิตวิทยาวิวัฒนาการเล็งเห็นและทำนายทายทักว่า ความแตกต่างทางชีววิทยาตรงนี้เอง น่าจะนำไปสู่ความแตกต่างทางจิตวิทยาของความขี้หึงด้วยเช่นกัน พูดอีกอย่างหนึ่ง ความขี้หึงในเพศชายกับเพศหญิง น่าจะวิวัฒนาการออกมามีรูปแบบที่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว

เพราะอะไรน่ะรึ? หากเราลองคิดดู เพศชายเป็นเพศเดียวที่ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าลูกที่เกิดมาเป็นลูกแท้ๆ ของตัวเองจริงหรือไม่ หากเมียไปมีชู้มาแล้วผู้ชายไม่รู้ สิ่งที่เขาจะเสี่ยงต่อการสูญเสียมากที่สุด ก็คือเวลาและพลังงานซึ่งอาจจะต้องอุทิศให้ไปกับการเลี้ยงดูลูกของชายอื่น แทนที่จะได้เอาทรัพยากรเหล่านั้นมามอบให้กับผู้สืบเชื้อสายทางพันธุกรรมที่แท้จริงของตนเอง หากสมชายเลี้ยงลูกจนโตแล้วค่อยมาสังเกตเห็นว่า เอ๊ะ ทำไมเด็กมันหน้าไปเหมือนคนส่งพิซซ่า นั่นย่อมเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงที่สุดในเกมการสืบพันธุ์ และด้วยเหตุนี้เอง ผู้ชายจึงน่าที่จะวิวัฒนาการขึ้นมามีความเซนซิทีฟต่อเรื่องสิทธิขาดทางเพศในตัวคู่รักของตนเองเป็นพิเศษ

ในทางกลับกัน ผู้หญิง ถึงยังไงก็แน่ใจได้อยู่แล้วว่าลูกที่เกิดมาจะเป็นลูกของตนเอง ก็มันออกมาจาก… อืมม… ท้อง กูชัดๆ จะไม่ให้แน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นลูกในไส้ หรือจะบอกว่าอีเจ๊ข้างบ้านแอบมามีอะไรกับสามีเสร็จแล้วค่อยย่องเอาไข่มันมาฝังไว้ในมดลูกเราตอนเราหลับ อันนั้นก็คงจะเป็นไปได้ยากอยู่ เช่นนี้แล้ว หากสามีของผู้หญิงคนหนึ่งจะไปมีชู้กับหญิงอื่น สิ่งที่เจ้าหล่อนควรจะต้องกลัวมากที่สุด คงจะไม่ใช่เรื่องแน่ใจไม่แน่ใจว่าจะต้องมานั่งเลี้ยงลูกคนอื่นหรือเปล่า แต่น่าจะเป็นเรื่องของการสูญเสียความรัก ความเอาใจใส่ ที่พึงจะได้รับจากสามีมากกว่า ผู้ชายจะมีเวลาและทรัพยากรเหลือมาช่วยดูแลลูกดูแลครอบครัวมากน้อยแค่ไหนกัน หากเขามัวแต่แบ่งสิ่งเหล่านั้นไปให้กับผู้หญิงอื่น เซ็กส์เฉยๆ อาจจะไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องหัวใจนี่เสียหายหนัก และด้วยเหตุนี้เอง เพศหญิงจึงน่าที่จะวิวัฒนาการขึ้นมามีความเซนซิทีฟต่อเรื่องสิทธิขาดทางความรักในคู่ของตนเองเป็นพิเศษ

พูดง่ายๆ ก็คือ หากว่ากันตามหลักวิวัฒนาการแล้ว ชายควรจะหึงเรื่องนอกกายมากกว่านอกใจ ส่วนหญิงควรจะหึงเรื่องนอกใจมากกว่านอกกาย..
หญิง แฟนนอกกาย พอให้อภัย แต่นอกใจไม่สามารถให้อภัยได้ (ยิ่งนอกทั้งสองอย่างนี่ยิ่งบ้านแตกแน่)
ส่วนชาย แฟนนอกใจ ไม่เท่าไหร่ แต่นอกกายนี่สิ มึง(และมัน) ต้องตาย!

แล้วมันจริงตามนี้รึเปล่า? ปี 1992 นักวิทยาศาสตร์ชื่อคุณเดวิด บัส (David Buss) ได้ไปทดลองศึกษาดู เขาเอาแบบสอบถามไปแจกนักศึกษาชายหญิงประมาณ 200 คน โดยมีโจทย์คือให้จินตนาการระหว่าง
(1) แฟนตัวเองกำลังมีเซ็กส์อย่างเร่าร้อนกับคนอื่น (นอกกาย)
(2) แฟนตัวเองกำลังตกหลุมรัก Crazy in love กับคนอื่น (นอกใจ)

เสร็จแล้วให้เลือกว่าอย่างไหนทำให้เกิดอารมณ์โกรธเกรี้ยวและของขึ้นมากกว่ากัน

ผลการทดลองปรากฏว่า..
ผู้ชายส่วนใหญ่(ประมาณ 60%) เลือกข้อแรก(นอกกายร้ายแรงกว่านอกใจ)
ในขณะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่(ประมาณ 80%) เลือกข้อ2 (นอกใจร้ายแรงกว่านอกกาย)
ตั้งแต่ผลงานวิจัยอันนี้ออกมา หัวข้อนี้ก็ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง และช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็มีคนพยายามทำการศึกษาในทำนองเดียวกันออกมาอีกมากมายเต็มไปหมด รวมทั้งในประเทศตะวันออกอย่างเกาหลีและญี่ปุ่นด้วย ซึ่งก็ล้วนแต่ปรากฏผลออกมาคล้ายคลึงกัน แสดงว่ามันอาจจะสะท้อนได้ถึงสัญชาตญาณดิบที่แตกต่างกันระหว่างเพศจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ในแวดวงก็ยังมีความพยายามถกเถียงกันอยู่ว่า “เอ แค่ทำแบบสอบถามนี่จะเชื่อถือได้จริงเหรอ” หรือไม่ก็ “เอ ผลลัพธ์แค่ 60% นี่มันก็ไม่ได้แสดงถึง ‘คนส่วนใหญ่‘ ขนาดนั้นนะ” หรือไม่ก็ “เอ วัดผลแบบนี้ มันทำให้ดูเหมือนกับว่า นอกกาย ผู้หญิงไม่โกรธ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วอาจจะโคตรโกรธ แต่ที่เลือกช้อยส์ข้อนอกใจมากกว่า


อาจเป็นเพราะ ผู้หญิงเชื่อว่า ผู้ชายไม่มีทางนอกใจอย่างเดียวเฉยๆ แน่ ไอ้เฒ่าหัวงูนี่นอกใจกูแล้ว ต่อไปมึงก็คงไม่แคล้วต้องนอกกายเปลี่ยนจากกิ๊กมาเป็นชู้ด้วยชัวร์ พอจินตนาการไป แม่หล่อนก็เลยยิ่งโกรธจมูกบานขึ้นเป็นยกกำลังสอง กลายเป็นว่าช้อยส์ข้อนี้มันเหมือนรวมนอกใจและนอกกายเอาไว้ด้วยกัน สร้างปัญหาให้กับการแปลผลเป็นอย่างยิ่ง” สรุปแล้ว ความคิดเรื่องนอกกายกับนอกใจอาจจะแยกจากกันไม่ขาดเสียทีเดียว ผลการทดลองที่ได้ อาจแสดงถึงสัญชาตญาณล้วนๆ ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องความเชื่อส่วนตัวหรือค่านิยมนิยามที่แต่ละเพศมีต่อกันก็อาจจะมีผลด้วยเช่นกัน

ที่มา http://www.wit-view.com/lokjit/content/?page_id=116

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 16, 2551

ครบรอบ 1 สัปดาห์

เผลอแป๊ปเดียว นี่เราออกจากบ้านมาครบอาทิตย์นึงแล้วเหรอ นึกไปแล้วเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจังเลยนะ เหมือนว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองเพราะความรู้สึกแย่ๆ ยังวนเวียนหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา ก็คงต้องให้เวลาตัวเองสักพักใหญ่ๆ เพื่อปรับตัวให้ชินกับโลกนอกกะลาและการอยู่คนเดียว อิสระนี่มันก็ดีนะ แต่มันก็ให้ความรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก

อืมม..ม
จะบอกความรู้สึกตอนนี้อย่างไรดีนะ แม้เพิ่งจะจบความรักที่เจ็บปวดไปได้ไม่กี่วัน แต่น่าแปลกที่ไม่คิดกลัวที่จะรัก และใจยังความหวังที่จะมีความรักดีๆ อีกครั้ง ที่ผ่านมาประสบการณ์เลวร้ายสอนให้คนเราแกร่งมากขึ้น รวมทั้งทำให้เราคิดได้จริงๆ ว่าเราต้องการอะไรจากความรัก ได้เข้าใจแล้วว่าบุญคุณกับความรักมันเป็นคนละเรื่องกัน แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องนำเปรียบเทียบกัน การรักใครสักคนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนแต่มันสั่งสมมาจากวันและคืนอันยาวนาน ก็เหมือนที่เค้าพูดกันว่า "ระยะทางพิสูจน์ม้า.. การเวลาพิสูจน์คน"

ต่อไปนี้จะพยายามเป็นตัวของตัวเอง จะไม่ฝืนใจตัวเอง ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำเพียงเพราะความเกรงใจอีกแล้วและขณะเดียวกันก็จะไม่กลัวที่จะเริ่มต้น!!

แหะๆ บ่นแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ติดกันหลายวันจนน่าเบื่อเลยเนอะก็เพิ่งจะมาเริ่มเข้าใจชีวิตก็ตอนอายุจะ 30 นี่แหละวันเวลามันผ่านไปเร็วจนไม่ทันรู้สึกตัว เหมือนวันก่อนเพิ่งจะเรียนจบอายุ 23-24 ปี กำลังสดใสซาบซ่าส์หันมามองอีกที อ้าว.. นี่ชั้นเเข้าสู่วัยกลางคนตอนต้นแล้วรึเนี่ย ทำไมจิตใจยังไม่ยอมโตเลยน้อออ

เฮ้อ~~~~~อ (ถอนหายใจยาวๆ)


###เมื่อไหร่กันน๊า ที่ความรักของชั้นจะสมหวังซักที###

วันพุธ, ตุลาคม 15, 2551

"รัก" ในวันที่อาจจะสายเกินไป

ช่วงนี้กำลังเผชิญกับเรื่องราวหนักๆ ในชีวิตอยู่ ก็เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะออกจากกะลาเสียที มันก็เลยมีอุปสรรคต่างๆ นานามาทดสอบความกล้าล่ะมั๊ง ยอมรับว่าเหนื่อยกายและเหนื่อยใจสุดๆ กำลังใจมันก็มีบ้างหดบ้างเป็นบางเวลา แต่ไหนๆ ก็คิดจะเคลียร์ชีวิตทั้งทีแล้ว ก็อยากจะจัดการความสัมพันธ์ที่มีให้มันเรียบร้อยไปเลยในทีเดียว ในเมื่อวันนี้ความสัมพันธ์ที่คาราคาซังมานานก็จบไปแล้ว (มั๊งนะ..อย่างน้อยก็กับเราเอง) ตอนนี้ก็เลยอยากรู้จุดยืนของตัวเองให้ชัดเจนแน่นอนว่าจะปฏิบัติอย่างไรกับใคร เมื่อไหร่ เพื่อจะได้ไม่ต้องมาคิดไปเองคนเดียวอีกต่อไป


เกือบสองปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาที่อยู่ในกะลา ได้แต่หวังกับตัวเองว่าสักวันเราคงมีความกล้าพอที่จะตัดขาดกับความสัมพันธ์ที่เรารู้สึกตัวได้แล้วว่ามัน "ไม่ใช่" รังแต่จะนำมาซึ่งความอึดอัดใจ อยากที่จะเริ่มต้นใหม่กับคนที่เราคิดว่าเค้ารักและพร้อมจะดูแลเราตลอดไป อย่างที่เค้าเคยพูดคำสำคัญกับเราถึงสองครั้ง เพื่อให้เราเชื่อ และมั่นใจว่าเค้าคิดและตั้งใจแบบนั้นจริงๆ แต่ในวันนั้นเราตัดสินใจได้ไม่ดีเลย เพราะความสงสาร ทำให้เราตัดไม่ขาด ทำให้ทุกอย่างมันอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ เพียงเพราะ "ความไม่กล้า" นั่นเอง


ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็ได้แต่คิดหวังไปเองว่าเค้าคงยังไม่มีใคร และใจเค้ายังคงเหมือนเดิม ฟังดูอาจเป็นละครไปหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็มีความสุขที่ฝันไปอย่างนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น ไม่อาจรู้ได้เลยว่าความรักนั้นจะยังคงอยู่หรือไม่ หรือมันจะยังเหลือแต่ความรู้สึกดีๆ ความห่วงใยและความผูกพันที่มีต่อกัน ..หรือเปล่า.. ได้แต่คิดเช่นนั้นอยู่ในใจทุกวัน


ในที่สุดวันที่เราตัดสินใจเด็ดขาดก็มาถึง ท่ามกลางความเสียใจ ความเจ็บปวด และความกลัว กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แม้จะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เพียงแค่โทรศัพท์เค้าคนนั้นก็มาดูแลช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งได้ในยามต้องการใครสักคน


ในวันนั้นเราได้พบกับเค้าอีกครั้งด้วยหัวใจที่พร้อมจะสานต่อความรักที่ห่างหายไป แต่ความรู้สึกลึกๆ ที่เราสัมผัสได้มันไม่เหมือนเดิมสังเกตได้จากการพูดคุย เหมือนเค้าพยายามเลี่ยงที่ตอบคำถามในเรื่องความรู้สึกของเค้า คงเพราะไม่อยากให้ความหวังและไม่อยากให้เราเสียใจแต่เราก็ต้องการจะรู้ให้ได้ มันเหมือนมีอะไรค้างคาในใจ ยิ่งในช่วงที่ต้องการเคลียร์คัตอย่างนี้ ยิ่งต้องการจะรู้ความคิดในใจจริง จนในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามในสิ่งที่คิดมาตลอดเกือบสัปดาห์


คำตอบที่ได้รับมันไม่บวก แต่ก็ไม่ลบเสียทีเดียว แม้ว่าจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไรนัก รู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำที่เค้าพูดตรงๆ แต่ก็ยอมรับว่าเสียใจ ความรู้สึกมันสับสนปนเปไปหมด


เมื่อคืนนี้นั่งคิดอยู่นาน หลังจากที่ได้ถามความรู้สึกของเค้า และได้คำตอบมาว่าความรู้สึก "รัก" ที่เค้ามีต่อเรามันไม่เหมือนเดิม ความเจ็บปวดที่ได้รับกับเวลาเกือบ 2 ปี มันทำให้ความรู้สึกจางลงไปมาก แต่ความห่วงใยยังคงมีให้เสมอ ได้ยินอย่างนั้นก็เศร้าไปพักใหญ่ เงียบ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญอะไร พยายามจะยอมรับความจริงที่เราเป็นคนทำให้เค้ารู้สึกอย่างนั้นเอง


โอเค.. เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นจากนี้ไปเราจะแสดงออกให้น้อยลงกว่าเดิม คิดแล้วก็รู้สึกอายตัวเองที่เปิดเผยความต้องการออกไปอย่างนั้น ต่อไปจะไม่อ่อนแอและอ่อนไหวให้ใครเห็นอีก ในเมื่อรู้แล้วว่าเค้าไม่ได้คิดเหมือนกับเรา เราก็ควรจะสำรวมกิริยา วาจาให้มากกว่านี้


ดังนั้น ถึงแม้ว่าเราจะรักเค้าแค่ไหน แต่เราจะไม่เอ่ยมันออกมาอีกแล้ว จนกว่าเค้าจะเป็นคนพูดคำนี้กับเราอีกครั้ง เค้าเคยเสียเวลา เสียใจ เพราะเรามาเยอะแล้ว มันก็ไม่แปลกอะไรที่ความรู้สึกมันจะถอยห่างออกมาจากเมื่อวันนั้น คราวนี้คนที่ต้องรอคอยคงเป็นเราแล้วล่ะค่ะ แต่ผลจะเป็นยังไงทุกอย่างเป็นเรื่องของอนาคต แล้วแต่บุญแต่กรรมที่ทำมาร่วมกัน


ไม่รู้สินะ คิดไม่ออกเหมือนกันว่า วันหนึ่งเราจะกลายเป็นคู่กัน หรือจะกลับมาเป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนเมื่อก่อน..

วันอังคาร, ตุลาคม 14, 2551

ออกพรรษา.. ออกจากทุกข์ (คุก) ในใจ

แปลกดีนะ วันนี้มีคนส่ง fwd mail มาให้สองคนแล้ว่า วันนี้ อังคาร 14 ต.ค. เป็นวันพระ และวันออกพรรษาพร้อมกับมีธรรมะเล็กน้อยๆ แนบมาให้อ่าน

อันที่อ่านแล้วรู้สึกว่าโดนใจตอนนี้เห็นจะเป็นที่บอกว่า "อย่าเสียเวลากับความหลัง" กระมัง
เค้าว่า 90% ของคนที่ทุกข์เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ

--ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น--

มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบบเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วยความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันไปซะ..

อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน

..อยู่กับปัจจุบันให้เป็น..

ให้กายอยู่กับจิต ให้จิตอยู่กับกาย มีสติกำกับตลอดเวลา
..ว.วชิรเมธี..
ในที่สุดมันก็จบไปแล้วสินะ นับเป็นเวลา 5 ปีกับ 9 เดือน กับความรักที่ไม่น่าเกิดขึ้น
เมื่อคนเหงากับคนเศร้ามาเจอกัน ความสัมพันธ์ท่ามกลางความเห็นอกเห็นใจกันก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา
กาลเวลาผ่านไป เรื่องราวมากมายทั้งร้าย-ดี กลายเป็นความทรงจำร่วมกัน
นำมาซึ่งความผูกพันที่ทำให้ตัดขาดกันไม่ได้สักที
ไม่อยากคิดเลยว่ามันจะจบลงในรูปแบบนี้จริงๆ

เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเราก็มีเยอะ แม้วันนี้ไม่มีเธอแล้ว ก็ขอเก็บความทรงจำดีๆ ไว้ให้ระลึกถึง
เรื่องร้ายๆ ขออโหสิกรรมอย่าได้ถือโทษโกรธเคืองกันอีกต่อไปเลย
จากนี้ไปทางเดินคนละทางคงจะแยกจากกันได้เสียที..

ลาก่อนนะ ความรักครั้งหนึ่งของชั้น..