ไม่ชอบเลยแฮะความรู้สึกนี้
ทำไมคนเราต้อง "ตั้งแง่" ใส่กันด้วย..
ตั้งแต่ได้ยินเรื่องเล่าว่าผู้ชายเค้าสอนกันมาอย่างไรในเรื่องการ manage ผู้หญิงของตัวเอง
ทำอย่างไรถึงจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองได้อย่างลงตัวที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัว เพื่อนฝูง ครอบครัว หรือแฟน
ซึ่งมันก็แน่อยู่ล่ะที่คนสอนก็คงจะมองประโยชน์ของผู้ฟังเป็นหลัก คิดแทนผู้ชายเหมือนกัน
โดยไม่ได้คิดถึงความต้องการของ "คนตรงข้าม" ล่ะมั๊ง
ที่จริงความรักมันก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคนสองคนที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ ก็แค่ทำสิ่งที่ทำให้เราและคนที่เรารักมีความสุขก็น่าจะดีแล้ว
แต่บ่อยครั้งที่ความต้องการของคนเราไม่เท่ากัน ไม่มีใครผิด แต่แค่มันไม่ตรงกัน
สองสามวันมานี่ คิดถึงรูปแบบความรักของคนคู่นึง
ที่สอนให้เราเข้าใจมุมมองที่ว่าคู่ชีวิตมีความหมายมากกว่าใครทั้งมวล
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือลูกที่รักดังดวงใจ ก็ยังไม่อาจเทียบเท่าภรรยา และแม่ผู้ให้กำเนิดลูกได้ มันคงจะดีนะ ถ้าได้รู้สึกอย่างนี้บ้าง
..การเป็นที่รักของใครสักคนที่จะไม่มีวันเลิกรักเราจนกว่าจะตายจากกันไป..
จะเป็นได้แค่ความฝันในชีวิตนี้รึเปล่านะ
วันอังคาร, ธันวาคม 14, 2553
วันพุธ, พฤศจิกายน 17, 2553
Surprise!! ใครกันแน่ -*-
จู่ๆ ก็มีเรื่องให้อารมณ์ไม่ดีซะงั้น
ไม่ค่อยเข้าใจคนสันโดษซะจริงๆ
เวลาทำอะไรคนเดียว คิดอะไรคนเดียว มันมีความสุขตรงไหนกัน
ทั้งที่ไอ้เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องของคุณคนเดียวสักหน่อย
สงสัยจะชินกับ "โลกของกรู" ซะจนลืมไปแล้วว่าบางเรื่องมันเป็น "โลกของเรา"
ลืมไปแล้วมั๊งว่าความเป็นห่วงของคนอื่นมันมีค่ามากกว่าคำว่าเซอร์ไพรซ์
หรือว่ามันผิดที่เราที่ดันเอาใจไปร่วมกับเค้าซะจนอดรนทนไม่ได้
(แล้วมันผิดด้วยเหรอที่อยากรู้สิ่งที่เราต้องทำด้วยน่ะ)
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยระเบิดน้ำตาลงสักลูกหนึ่ง ก่อนจะจบด้วยรอยช้ำที่ตาเหมือนที่ผ่านๆ มา
ตอนแรกว่าจะบอกให้รู้ตรงๆ เหมือนกัน
แต่ผ่านไป 2 ชม. ก็คิดได้ว่าพูดไปก็เท่านั้น นิสัยคนเราเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ
ขนาดเราเองยังไม่สามารถจะเชื่อมั่นในตัวเองได้เลย แล้วจะไปหวังอะไรกับการให้คนอื่นเปลี่ยนไปตามใจเรา
แปลกมะ คนที่บอกว่าไม่ชอบการแก่งแย่งอะไรกับใคร และมีความสุขกับการอยู่เฉยๆ แล้วรอให้ความดีมันปรากฏ
กับคนที่ชอบทำเซอร์ไพรซ์ (ตัวเอง) เนี่ยมันเป็นคนเดียวกัน
ไม่ค่อยเข้าใจคนสันโดษซะจริงๆ
เวลาทำอะไรคนเดียว คิดอะไรคนเดียว มันมีความสุขตรงไหนกัน
ทั้งที่ไอ้เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องของคุณคนเดียวสักหน่อย
สงสัยจะชินกับ "โลกของกรู" ซะจนลืมไปแล้วว่าบางเรื่องมันเป็น "โลกของเรา"
ลืมไปแล้วมั๊งว่าความเป็นห่วงของคนอื่นมันมีค่ามากกว่าคำว่าเซอร์ไพรซ์
หรือว่ามันผิดที่เราที่ดันเอาใจไปร่วมกับเค้าซะจนอดรนทนไม่ได้
(แล้วมันผิดด้วยเหรอที่อยากรู้สิ่งที่เราต้องทำด้วยน่ะ)
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยระเบิดน้ำตาลงสักลูกหนึ่ง ก่อนจะจบด้วยรอยช้ำที่ตาเหมือนที่ผ่านๆ มา
ตอนแรกว่าจะบอกให้รู้ตรงๆ เหมือนกัน
แต่ผ่านไป 2 ชม. ก็คิดได้ว่าพูดไปก็เท่านั้น นิสัยคนเราเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ
ขนาดเราเองยังไม่สามารถจะเชื่อมั่นในตัวเองได้เลย แล้วจะไปหวังอะไรกับการให้คนอื่นเปลี่ยนไปตามใจเรา
แปลกมะ คนที่บอกว่าไม่ชอบการแก่งแย่งอะไรกับใคร และมีความสุขกับการอยู่เฉยๆ แล้วรอให้ความดีมันปรากฏ
กับคนที่ชอบทำเซอร์ไพรซ์ (ตัวเอง) เนี่ยมันเป็นคนเดียวกัน
วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 11, 2553
งานยุ่งแต่ไม่อยากทำ ผิดมะ??
จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้เข้ามาอัปเดตความเป็นไปของตัวเองบ้างเลย คงเพราะที่ผ่านมามัวแต่ขลุกอยู่กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ซะจนลืมทุกอย่างไปหมด ก็คงไม่แปลกอะไรสำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมีความสุขดีกับสิ่งที่ตัวเองได้ "เลือก" ในสิ่งที่บอกตัวเองว่าควรจะเลือกมาตั้งนานแล้ว 55+
นอกจากนั้นแล้วก็ยังจะมียัยตัวแสบคนนึงที่เข้ามาในชีวิต ไม่รู้จะจัดวางไว้ตรงไหนดี มากกว่าเพื่อน ไม่ใช่น้อง แต่ก็ไม่ใช่แฟน ถ้าจะให้อธิบายง่ายที่สุดเอาเป็นว่าเป็นคนรู้สึกสบายใจที่จะคบกัน แม้ว่าแรกๆ จะฝืนที่ต้องเปิดรับใครให้เข้ามาในชีวิตอย่างรวดเร็ว (เกินไปมั๊ย) แต่ยังไงซะก็ต้องขอบคุณที่เค้าช่วยทำให้ชีวิตเราค่อยๆ ดำเนินไปอย่างไม่น่าเบื่อนัก 1 ปีแล้วสินะที่เธอเข้ามาป่วนชีวิตชั้นน่ะ 55+
วันก่อนขากลับจากสนามบินก็ได้ไปเจอรุ่นพี่คนนึงที่เราไปแฮงก์อยู่กับเค้าในคืนวันปีใหม่ที่ผ่านมา แล้วพี่เค้าก็บอกว่าปีนี้ให้มาอีกนะ จะจัดปีใหม่ที่ร้านให้ลูกค้าเหมือนปีที่แล้ว นั่นแหละทำให้เราได้รู้สึกตัวว่าวันเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ เผลอแป๊ปเดียวนี่จะปีนึงแล้วรึนี่
นอกจากนั้นแล้วก็ยังจะมียัยตัวแสบคนนึงที่เข้ามาในชีวิต ไม่รู้จะจัดวางไว้ตรงไหนดี มากกว่าเพื่อน ไม่ใช่น้อง แต่ก็ไม่ใช่แฟน ถ้าจะให้อธิบายง่ายที่สุดเอาเป็นว่าเป็นคนรู้สึกสบายใจที่จะคบกัน แม้ว่าแรกๆ จะฝืนที่ต้องเปิดรับใครให้เข้ามาในชีวิตอย่างรวดเร็ว (เกินไปมั๊ย) แต่ยังไงซะก็ต้องขอบคุณที่เค้าช่วยทำให้ชีวิตเราค่อยๆ ดำเนินไปอย่างไม่น่าเบื่อนัก 1 ปีแล้วสินะที่เธอเข้ามาป่วนชีวิตชั้นน่ะ 55+
วันก่อนขากลับจากสนามบินก็ได้ไปเจอรุ่นพี่คนนึงที่เราไปแฮงก์อยู่กับเค้าในคืนวันปีใหม่ที่ผ่านมา แล้วพี่เค้าก็บอกว่าปีนี้ให้มาอีกนะ จะจัดปีใหม่ที่ร้านให้ลูกค้าเหมือนปีที่แล้ว นั่นแหละทำให้เราได้รู้สึกตัวว่าวันเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ เผลอแป๊ปเดียวนี่จะปีนึงแล้วรึนี่
วันจันทร์, พฤษภาคม 24, 2553
อะไรที่เป็นของเรา..ก็ต้องเป็นของเรา..
เหนื่อยใจจังเลย.. กี่ครั้งแล้วนะที่บอกอย่างนี้กับตัวเอง ก็เพราะมันไม่รู้จะอธิบายอะไรได้ดีไปกว่านี้แล้วนั่นเอง
คนที่รักกันมากถึงขนาดจะแต่งงานกัน ก็คงต้องมีความอยากที่จะอยู่ด้วยกันมากๆ ทั้งสองฝ่าย ทำให้ต้องช่วยกันทำความตั้งใจให้เป็นจริง แล้วเราล่ะ.. ทำไมถึงรู้สึกว่ามีแต่เราที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเค้ามากซะจนคิดว่าพิธีรีตรองอะไรทั้งหลายแหล่ ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกแล้ว ถ้าแลกกับเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันเร็วขึ้นแม้เพียง 1 วัน แต่สำหรับเค้าความรู้สึกที่ว่านี้มันคงลดลงมากๆ จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เหมือนทุกอย่างเดินไปตามทางที่เค้ามองเห็นอยู่คนเดียว ทั้งที่ทางนั้นมันควรจะต้องมีเราเดินไปด้วยไม่ใช่หรือ
การที่ต้องรออะไรสักอย่างที่ตัวเราไม่สามารถจะควบคุมมันได้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมาณเสียจริงๆ ถึงแม้จะบอกตัวเองว่ามันไม่ได้ไร้จุดหมายเสียทีเดียว แต่ก็ไม่สามารถจะระบุได้เช่นกันว่าการรอคอยนั้นจะจบลงเมื่อไหร่ ยิ่งวันเวลาผ่านไปความหวังในใจมันก็ค่อยๆ ริบหรี่ลงทุกที พลังใจที่พยายามสร้างขึ้นมามันไม่สามารถทดแทนกันได้ทัน
หลายๆ คำถามที่ไม่สามารถตอบตัวเองได้..
การมีเราอยู่ไม่ได้ช่วยทำให้ความกลัวของเค้าลดลง หนำซ้ำมันกลับทำให้เค้ารู้สึกไม่แน่ใจว่าเราสองคนจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แล้วเค้าจะมีเราไว้ทำไม..
"ไม่พร้อม" คำสั้นๆ แต่ทรงอานุภาพและสามารถตอบคำถามทั้งมวลได้ในครั้งเดียว การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะไม่พร้อมที่จะก้าวไปอีกบทบาทหนึ่งของชีวิตมันก็เป็นคำอธิบายง่ายๆ ได้ว่าเค้ายังไม่เจอใครสักคนที่เค้าคิดว่าจะร่วมชีวิตกันได้น่ะสิ ลองคิดว่ามัน "ใช่" ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญสักเพียงใด เชื่อว่าคนเราก็คงพยายามที่จะทำให้มันเป็นจริงจนได้ ลองว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ดาวเดือนบนท้องฟ้า
ทำให้เค้าอยากอยู่กับเรางั้นหรือ ทำอย่างไรล่ะ ทุกสิ่งอย่างที่ทำได้ให้ได้ก็ทำไปหมดแล้ว ให้ไปจนไม่เหลืออะไรให้กับตัวเอง แต่ไม่นึกเลยว่าเค้าจะไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับสิ่งเหล่านั้นสักเท่าไหร่ ถ้าตัวเราในทุกวันนี้ยังไม่สามารถทำให้เค้าพอใจได้ก็คงเป็นเราที่ต้องทำใจสินะ..
ถ้าไม่หลอกตัวเอง เรารู้สึกมาพักใหญ่แล้วล่ะว่าเราไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกอยากอยู่ด้วยกันจากเค้าเลย มีแต่เราที่พยายามสร้างโอกาส หากิจกรรมเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งเค้าก็คงทำเพราะคิดว่าเป็นการสนองความต้องการของเรามากกว่าเป็นความสุขของทั้งสองคน ครั้งสุดท้ายที่คิดว่าได้เห็นรอยยิ้มที่มาจากใจของเค้า ก็คือวันที่จะต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว เช้าวันที่ตื่นนอนขึ้นมาพร้อมๆ กัน แล้วเค้าลุกขึ้นมานั่งอยู่บนตัวเรา รอยยิ้มเขินๆ ที่เห็นได้จากมุมล่างมองขึ้นไปหาใบหน้าเค้านั่นแหละที่ทำให้เรามีความสุขที่สุดในช่วงเวลา 3 วันนั้น แว๊บนึงที่รู้สึกว่าเค้าคือคนเดิมที่เรารัก
เกือบ 1 สัปดาห์แล้วสินะที่เราจมอยู่กับความรู้สึกเศร้าๆ อย่างนี้ แม้วันนี้น้ำตาจะหยุดไหล แต่หัวใจยังไม่หยุดเต้นแรงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเค้า เรี่ยวแรงที่แทบจะหมดลงไปพร้อมๆ กับการวางสาย เราจะต้องเป็นอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่นะ แม้จะพยายามบอกตัวเองให้ปลงและยอมรับความจริงให้ได้ ให้ความหวังกับตัวเองได้แค่ "ของที่เป็นของเรา ไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องเป็นของเรา" แต่ถ้ามันไม่ใช่ของเรา ต่อให้เราดิ้นรนพยายามเท่าไหร่สุดท้ายก็มีแค่..มือเปล่า
คนที่รักกันมากถึงขนาดจะแต่งงานกัน ก็คงต้องมีความอยากที่จะอยู่ด้วยกันมากๆ ทั้งสองฝ่าย ทำให้ต้องช่วยกันทำความตั้งใจให้เป็นจริง แล้วเราล่ะ.. ทำไมถึงรู้สึกว่ามีแต่เราที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเค้ามากซะจนคิดว่าพิธีรีตรองอะไรทั้งหลายแหล่ ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกแล้ว ถ้าแลกกับเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันเร็วขึ้นแม้เพียง 1 วัน แต่สำหรับเค้าความรู้สึกที่ว่านี้มันคงลดลงมากๆ จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เหมือนทุกอย่างเดินไปตามทางที่เค้ามองเห็นอยู่คนเดียว ทั้งที่ทางนั้นมันควรจะต้องมีเราเดินไปด้วยไม่ใช่หรือ
การที่ต้องรออะไรสักอย่างที่ตัวเราไม่สามารถจะควบคุมมันได้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมาณเสียจริงๆ ถึงแม้จะบอกตัวเองว่ามันไม่ได้ไร้จุดหมายเสียทีเดียว แต่ก็ไม่สามารถจะระบุได้เช่นกันว่าการรอคอยนั้นจะจบลงเมื่อไหร่ ยิ่งวันเวลาผ่านไปความหวังในใจมันก็ค่อยๆ ริบหรี่ลงทุกที พลังใจที่พยายามสร้างขึ้นมามันไม่สามารถทดแทนกันได้ทัน
หลายๆ คำถามที่ไม่สามารถตอบตัวเองได้..
การมีเราอยู่ไม่ได้ช่วยทำให้ความกลัวของเค้าลดลง หนำซ้ำมันกลับทำให้เค้ารู้สึกไม่แน่ใจว่าเราสองคนจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แล้วเค้าจะมีเราไว้ทำไม..
"ไม่พร้อม" คำสั้นๆ แต่ทรงอานุภาพและสามารถตอบคำถามทั้งมวลได้ในครั้งเดียว การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะไม่พร้อมที่จะก้าวไปอีกบทบาทหนึ่งของชีวิตมันก็เป็นคำอธิบายง่ายๆ ได้ว่าเค้ายังไม่เจอใครสักคนที่เค้าคิดว่าจะร่วมชีวิตกันได้น่ะสิ ลองคิดว่ามัน "ใช่" ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญสักเพียงใด เชื่อว่าคนเราก็คงพยายามที่จะทำให้มันเป็นจริงจนได้ ลองว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ดาวเดือนบนท้องฟ้า
ทำให้เค้าอยากอยู่กับเรางั้นหรือ ทำอย่างไรล่ะ ทุกสิ่งอย่างที่ทำได้ให้ได้ก็ทำไปหมดแล้ว ให้ไปจนไม่เหลืออะไรให้กับตัวเอง แต่ไม่นึกเลยว่าเค้าจะไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับสิ่งเหล่านั้นสักเท่าไหร่ ถ้าตัวเราในทุกวันนี้ยังไม่สามารถทำให้เค้าพอใจได้ก็คงเป็นเราที่ต้องทำใจสินะ..
ถ้าไม่หลอกตัวเอง เรารู้สึกมาพักใหญ่แล้วล่ะว่าเราไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกอยากอยู่ด้วยกันจากเค้าเลย มีแต่เราที่พยายามสร้างโอกาส หากิจกรรมเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งเค้าก็คงทำเพราะคิดว่าเป็นการสนองความต้องการของเรามากกว่าเป็นความสุขของทั้งสองคน ครั้งสุดท้ายที่คิดว่าได้เห็นรอยยิ้มที่มาจากใจของเค้า ก็คือวันที่จะต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว เช้าวันที่ตื่นนอนขึ้นมาพร้อมๆ กัน แล้วเค้าลุกขึ้นมานั่งอยู่บนตัวเรา รอยยิ้มเขินๆ ที่เห็นได้จากมุมล่างมองขึ้นไปหาใบหน้าเค้านั่นแหละที่ทำให้เรามีความสุขที่สุดในช่วงเวลา 3 วันนั้น แว๊บนึงที่รู้สึกว่าเค้าคือคนเดิมที่เรารัก
เกือบ 1 สัปดาห์แล้วสินะที่เราจมอยู่กับความรู้สึกเศร้าๆ อย่างนี้ แม้วันนี้น้ำตาจะหยุดไหล แต่หัวใจยังไม่หยุดเต้นแรงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเค้า เรี่ยวแรงที่แทบจะหมดลงไปพร้อมๆ กับการวางสาย เราจะต้องเป็นอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่นะ แม้จะพยายามบอกตัวเองให้ปลงและยอมรับความจริงให้ได้ ให้ความหวังกับตัวเองได้แค่ "ของที่เป็นของเรา ไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องเป็นของเรา" แต่ถ้ามันไม่ใช่ของเรา ต่อให้เราดิ้นรนพยายามเท่าไหร่สุดท้ายก็มีแค่..มือเปล่า
วันพุธ, พฤษภาคม 19, 2553
คนพิเศษ กับ คนธรรมดา
หงุดหงิดใจชะมัด..
ทำไมนะ คนที่ควรจะเข้าใจกันที่สุด บางครั้งกลับรู้สึกว่าเป็นคนที่เข้าใจกันยากที่สุด ไอ้ครั้นจะบอกอะไรก็แสนลำบากที่จะพูด น้อยใจ เกรงใจ เสียใจ และอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้ตัดสินใจว่า.. "เหนื่อยใจ" เกินกว่าจะพูดแล้วล่ะ
เวลาที่มันรู้สึก 'down' ทุกๆ คนก็ต้องการกำลังใจเพื่อขับเคลื่อนต่อไปกันทั้งนั้น จะมีใครปฏิเสธมั๊ยว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็น แฟน" มักจะเป็นคนที่ถูกนึกถึงเป็นลำดับต้นๆ การบอกว่า "คิดถึง" ไม่ได้หมายความว่าต้องมาเจอกันทุกครั้งเสียหน่อย ก็แค่ต้องการการกระทำ หรือคำพูด หรืออะไรสักอย่างที่เป็นการเติมกำลังใจให้กับคนที่กำลังเหงาและรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ให้ได้รู้ว่า ..ชั้นยังมีเธอ..และชั้นยังเป็นคนสำคัญกับใครบางคนอยู่
การที่เราจะพูดสิ่งที่เรารู้สึกกับคนสำคัญมันจะต้องดูเวลาด้วยเหรอ เข้าใจมาตลอดว่าการสื่อสารจากใจถึงใจเป็นสิ่งที่ควรกระทำกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "คนพิเศษ" เพราะมันแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ลึกซึ้งมากกว่าคนอื่นๆ มันยากตรงไหนกับการที่ถามตัวเองแล้วตอบออกมาตรงๆว่ารู้สึกอย่างไร
ถึงแม้สังคมมันจะแย่แค่ไหน สถานการณ์ไม่แน่นอนอย่างไร ความรู้สึกของคนสองคนที่มีต่อกันมันก็น่าจะเหมือนเดิมเสมอ ไม่ใช่ว่าบ้านเมืองกำลังแย่เธอจะมาเรียกร้องอะไรตอนนี้ ในเมื่อตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้าดูสถานการณ์ภายนอกอย่างเงียบๆ แล้วทำไมต้องเอาความเครียดของสังคมมาแสดงกับคนที่เราแคร์ซึ่งก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน แทนที่จะตอกย้ำความเครียดให้กัน เราควรจะเป็นกำลังใจให้กันมากกว่าไม่ใช่หรือ ยอมรับว่าผิดหวังอยู่เหมือนกันกับเสียงเบื่อๆ เซ็งๆ ที่แสดงความรู้สึกว่า..อีกแล้วเหรอ.. ได้ยินแล้วทำให้รู้สึกว่าไม่น่าพูดออกไปเลย..เสียใจที่แสดงความรู้สึกอ่อนแอกับคนหวังว่าน่าจะเข้าใจเรา ทำให้คิดว่าตัดสินใจผิดที่คิดว่าเค้าไม่เหมือนคนอื่น ที่จริงแล้วแฟนก็คือคนอื่นที่บังเอิญสนิทสนมกันมากกว่าคนอื่นๆ แค่นั้นเองไม่ได้เห็นเราพิเศษอะไรเลย
ไม่อยากเป็นผู้หญิงของใครแล้วล่ะ พอรู้สึกว่าเรามีใครสักคนมาแชร์ความเป็นตัวเรา หัวใจมันก็พลอยที่จะเปิดกว้างปล่อยให้สัญชาตญาณของเพศที่บอบบาง ยอมให้ความรู้สึกและอารมณ์เข้ามามีอิทธิพลในการแสดงออก ในขณะที่อีกคนยังเป็นตัวเองอยู่เต็มเปี่ยม มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ดั่งใจ
ทำไมนะ คนที่ควรจะเข้าใจกันที่สุด บางครั้งกลับรู้สึกว่าเป็นคนที่เข้าใจกันยากที่สุด ไอ้ครั้นจะบอกอะไรก็แสนลำบากที่จะพูด น้อยใจ เกรงใจ เสียใจ และอื่นๆ อีกมากมาย จนทำให้ตัดสินใจว่า.. "เหนื่อยใจ" เกินกว่าจะพูดแล้วล่ะ
เวลาที่มันรู้สึก 'down' ทุกๆ คนก็ต้องการกำลังใจเพื่อขับเคลื่อนต่อไปกันทั้งนั้น จะมีใครปฏิเสธมั๊ยว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็น แฟน" มักจะเป็นคนที่ถูกนึกถึงเป็นลำดับต้นๆ การบอกว่า "คิดถึง" ไม่ได้หมายความว่าต้องมาเจอกันทุกครั้งเสียหน่อย ก็แค่ต้องการการกระทำ หรือคำพูด หรืออะไรสักอย่างที่เป็นการเติมกำลังใจให้กับคนที่กำลังเหงาและรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ให้ได้รู้ว่า ..ชั้นยังมีเธอ..และชั้นยังเป็นคนสำคัญกับใครบางคนอยู่
การที่เราจะพูดสิ่งที่เรารู้สึกกับคนสำคัญมันจะต้องดูเวลาด้วยเหรอ เข้าใจมาตลอดว่าการสื่อสารจากใจถึงใจเป็นสิ่งที่ควรกระทำกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "คนพิเศษ" เพราะมันแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ลึกซึ้งมากกว่าคนอื่นๆ มันยากตรงไหนกับการที่ถามตัวเองแล้วตอบออกมาตรงๆว่ารู้สึกอย่างไร
ถึงแม้สังคมมันจะแย่แค่ไหน สถานการณ์ไม่แน่นอนอย่างไร ความรู้สึกของคนสองคนที่มีต่อกันมันก็น่าจะเหมือนเดิมเสมอ ไม่ใช่ว่าบ้านเมืองกำลังแย่เธอจะมาเรียกร้องอะไรตอนนี้ ในเมื่อตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้าดูสถานการณ์ภายนอกอย่างเงียบๆ แล้วทำไมต้องเอาความเครียดของสังคมมาแสดงกับคนที่เราแคร์ซึ่งก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน แทนที่จะตอกย้ำความเครียดให้กัน เราควรจะเป็นกำลังใจให้กันมากกว่าไม่ใช่หรือ ยอมรับว่าผิดหวังอยู่เหมือนกันกับเสียงเบื่อๆ เซ็งๆ ที่แสดงความรู้สึกว่า..อีกแล้วเหรอ.. ได้ยินแล้วทำให้รู้สึกว่าไม่น่าพูดออกไปเลย..เสียใจที่แสดงความรู้สึกอ่อนแอกับคนหวังว่าน่าจะเข้าใจเรา ทำให้คิดว่าตัดสินใจผิดที่คิดว่าเค้าไม่เหมือนคนอื่น ที่จริงแล้วแฟนก็คือคนอื่นที่บังเอิญสนิทสนมกันมากกว่าคนอื่นๆ แค่นั้นเองไม่ได้เห็นเราพิเศษอะไรเลย
ไม่อยากเป็นผู้หญิงของใครแล้วล่ะ พอรู้สึกว่าเรามีใครสักคนมาแชร์ความเป็นตัวเรา หัวใจมันก็พลอยที่จะเปิดกว้างปล่อยให้สัญชาตญาณของเพศที่บอบบาง ยอมให้ความรู้สึกและอารมณ์เข้ามามีอิทธิพลในการแสดงออก ในขณะที่อีกคนยังเป็นตัวเองอยู่เต็มเปี่ยม มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ดั่งใจ
วันจันทร์, พฤษภาคม 10, 2553
ปัญหารายวัน.. เกิดเป็นคนมันก็ต้องมีปัญหาสินะ
วันนี้รู้สึกแย่ชะมัด ทั้งที่เมื่อเช้าก็ยังปกติดีไม่มีลางของความเซ็งอะไรแม้แต่น้อย..
บางทีเพียงแค่ลมพัดวูบหนึ่งก็ทำให้คนเรารู้สึกอะไรได้เหมือนกันนะ
บอกไม่ถูกกับอารมณ์ตอนนี้สักเท่าไหร่..
เบื่อๆ เซ็งๆ ไม่อยากคุยกับใคร แต่ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวให้ฟุ้งซ่าน..
สมองเหมือนอยากจะพักผ่อน แต่ก็มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่อยากได้คำตอบเสียจน..ร้อนใจ..
สุดท้ายก็ได้แค่ค้างคาในทุกสิ่งอย่างจนหมดแรงที่จะทำอะไร
ลำพังแค่ความคิดในหัวตัวเองก็ทำให้จิตตกได้ไม่เว้นวันแล้ว ชีวิตจะอยู่ยังไง อนาคตจะเป็นอย่างไร เพียงแค่นี้ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้สักที ในเมื่อคนที่สามารถตัดสินใจอะไรๆ ได้ "ไม่ใช่เรา" แล้วไหนจะเรื่องต่างๆ ที่คนรอบตัวก็ช่างสรรหามาให้แก้ไขกันนัก การเป็นบุคคลที่สามนี่มันไม่ได้อยู่ไกลปัญหา แต่ก็ไม่สามารถจะจบปัญหาเองได้ด้วย ไอ้สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่มันช่างสุดจะทนเสียจริงๆ
คนเรานี่ก็แปลกเวลาไม่มีใครรักก็เศร้าแทบตายราวกับโลกทั้งโลกไม่มีใครมองเห็นเรา แต่พอมีคนมารักกลับไม่เห็นคุณค่าของมันเหมือนในมันที่อยากจะได้ แต่ก็อีกแหละ..พอนึกรักใครขึ้นมาสักคน โลกทั้งโลกก็มีแค่เค้า อยากได้แต่เค้าจนไม่เห็นคนรอบตัว ทั้งที่บางทีคนที่เรารักเค้าอาจจะไม่ได้รักเราได้เท่าครึ่งของที่เรารักเค้าด้วยซ้ำไป
บางครั้งก็อยากดึงความสำคัญนั้นกลับมาให้ตัวเอง ในเมื่อไม่มีใครอยากรับมันไว้จริงๆ จังๆ สักคน สู้เอา "หัวใจ" ช้ำๆ กลับมาเก็บไว้เองมันจะดีกว่ามั๊ย 55 พูดเหมือนทำง่ายเนอะ.. ถ้าทำได้คงไม่มีคนช้ำใจกันทั่วโลกล่ะมั๊ง
ที่จริงแล้วสิ่งที่เรามี และสิ่งที่เราเป็น มันก็ยังดีกว่าคนอีกมากมาย เพียงแต่เราไม่ได้ได้สัมผัสกับชีวิตคนเหล่านั้นเองมากกว่า แทนที่จะมานั่งท้อใจในโชคชะตา เอาเวลาไปทำอะไรที่มันดูมีคุณค่ากว่านั่งหายใจทิ้งไปวันๆ แม้มันอาจจะไม่ได้สร้างสรรอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยมันก็คงไม่ทำร้ายเซลล์สมองที่มีอยู่น้อยนิดให้มันน้อยลงไปกว่าเดิม
ทำไงได้นอกจากบ่นแล้วก็อยู่ต่อไปละนะ เฮ้ออ..
บางทีเพียงแค่ลมพัดวูบหนึ่งก็ทำให้คนเรารู้สึกอะไรได้เหมือนกันนะ
บอกไม่ถูกกับอารมณ์ตอนนี้สักเท่าไหร่..
เบื่อๆ เซ็งๆ ไม่อยากคุยกับใคร แต่ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวให้ฟุ้งซ่าน..
สมองเหมือนอยากจะพักผ่อน แต่ก็มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรที่อยากได้คำตอบเสียจน..ร้อนใจ..
สุดท้ายก็ได้แค่ค้างคาในทุกสิ่งอย่างจนหมดแรงที่จะทำอะไร
ลำพังแค่ความคิดในหัวตัวเองก็ทำให้จิตตกได้ไม่เว้นวันแล้ว ชีวิตจะอยู่ยังไง อนาคตจะเป็นอย่างไร เพียงแค่นี้ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้สักที ในเมื่อคนที่สามารถตัดสินใจอะไรๆ ได้ "ไม่ใช่เรา" แล้วไหนจะเรื่องต่างๆ ที่คนรอบตัวก็ช่างสรรหามาให้แก้ไขกันนัก การเป็นบุคคลที่สามนี่มันไม่ได้อยู่ไกลปัญหา แต่ก็ไม่สามารถจะจบปัญหาเองได้ด้วย ไอ้สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่มันช่างสุดจะทนเสียจริงๆ
คนเรานี่ก็แปลกเวลาไม่มีใครรักก็เศร้าแทบตายราวกับโลกทั้งโลกไม่มีใครมองเห็นเรา แต่พอมีคนมารักกลับไม่เห็นคุณค่าของมันเหมือนในมันที่อยากจะได้ แต่ก็อีกแหละ..พอนึกรักใครขึ้นมาสักคน โลกทั้งโลกก็มีแค่เค้า อยากได้แต่เค้าจนไม่เห็นคนรอบตัว ทั้งที่บางทีคนที่เรารักเค้าอาจจะไม่ได้รักเราได้เท่าครึ่งของที่เรารักเค้าด้วยซ้ำไป
บางครั้งก็อยากดึงความสำคัญนั้นกลับมาให้ตัวเอง ในเมื่อไม่มีใครอยากรับมันไว้จริงๆ จังๆ สักคน สู้เอา "หัวใจ" ช้ำๆ กลับมาเก็บไว้เองมันจะดีกว่ามั๊ย 55 พูดเหมือนทำง่ายเนอะ.. ถ้าทำได้คงไม่มีคนช้ำใจกันทั่วโลกล่ะมั๊ง
ที่จริงแล้วสิ่งที่เรามี และสิ่งที่เราเป็น มันก็ยังดีกว่าคนอีกมากมาย เพียงแต่เราไม่ได้ได้สัมผัสกับชีวิตคนเหล่านั้นเองมากกว่า แทนที่จะมานั่งท้อใจในโชคชะตา เอาเวลาไปทำอะไรที่มันดูมีคุณค่ากว่านั่งหายใจทิ้งไปวันๆ แม้มันอาจจะไม่ได้สร้างสรรอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยมันก็คงไม่ทำร้ายเซลล์สมองที่มีอยู่น้อยนิดให้มันน้อยลงไปกว่าเดิม
ทำไงได้นอกจากบ่นแล้วก็อยู่ต่อไปละนะ เฮ้ออ..
วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 28, 2553
สวัสดีจากแดนอีสาน^^
มีความสุขไปอีกแบบกับการมาต่างจังหวัดอย่างนี้ ครั้งที่สามแล้วสินะที่เดินทางมาอย่างเปิดเผยในฐานะแฟนสาว (มั๊ง) ของลูกชายคนเล็ก นับวันก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับการอยู่ที่นี่ ดูเผืนๆก็เหมือนกับว่าเราเป็นสมาชิกอีกคนหนึ่งของครอบครัวนี้ แต่ความจริงแล้วเราก็ยังเป็นแค่คนนอกอยู่ดี
ที่จริงก็รู้แหละว่าฐานะตอนนี้หรือตอนไหนเราก็คงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเหมือนๆกันจากคนในครอบครัวนี้ ในทางกลับกันความรู้สึกของตัวเราเองก็คงไม่เปลี่ยนไปจากตอนนี้เท่าไหร่ เพราะอย่างไรเราก็คิดว่าทุกคนที่นี่เป็นเหมือนญาติของเราอยู่แล้ว
เพียงแต่ลึกๆก็ยังมีความรู้สึกไม่แน่ใจในอนาคตว่ามันอาจมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากตอนนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทุกอย่างก็คงไม่มีวันเหมือนเดิมใช่ไหม.. แต่ในเมื่อเราไม่สามารถกำหนดอนาคตที่เราจะต้องเจอได้ การทำจิตใจให้สงบผ่องใสแล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุดน่่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด คิดดี ทำดีก็พอ
-- Post From My iPhone
ที่จริงก็รู้แหละว่าฐานะตอนนี้หรือตอนไหนเราก็คงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเหมือนๆกันจากคนในครอบครัวนี้ ในทางกลับกันความรู้สึกของตัวเราเองก็คงไม่เปลี่ยนไปจากตอนนี้เท่าไหร่ เพราะอย่างไรเราก็คิดว่าทุกคนที่นี่เป็นเหมือนญาติของเราอยู่แล้ว
เพียงแต่ลึกๆก็ยังมีความรู้สึกไม่แน่ใจในอนาคตว่ามันอาจมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากตอนนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทุกอย่างก็คงไม่มีวันเหมือนเดิมใช่ไหม.. แต่ในเมื่อเราไม่สามารถกำหนดอนาคตที่เราจะต้องเจอได้ การทำจิตใจให้สงบผ่องใสแล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุดน่่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด คิดดี ทำดีก็พอ
-- Post From My iPhone
วันเสาร์, มกราคม 30, 2553
"เวลา" จะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้นจริงๆ หรือ?
พรุ่งนี้จะครบ 1 สัปดาห์แล้วหลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้า และไม่ได้ยินเสียงคนที่เคยคิดว่าจะไปมีวันห่างกันไปไหนนานๆ บอกตรงๆ ว่าไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะมีเรื่องอย่างนี้มาทำให้เราสองคนต้องมีปัญหากัน แล้วก็ไม่คาดคิดว่าเราทั้งคู่จะเลือกวิธีในการรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้น
น่าจะเริ่มชินแล้วนะกับความรู้สึกล่องลอยอย่างนี้ แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี แม้ว่าวันนี้น้ำตาจะแห้งหายไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คิดเรื่องเดิมมันก็พร้อมที่จะไหลออกมาได้อีก เวลารักมันช่างง่ายดาย แต่ทำไมเวลาเจ็บปวดมันอยู่ทนได้ขนาดนี้นะ
ใจนึงก็อยากเคลียร์ให้รู้แล้วรู้รอด จะเอายังไงก็ว่ามา ถ้ายังจะรักกันก็ตกลงกันให้เป็นเรื่องเป็นราว ถ้าไม่คิดจะรักกันแล้วก็จะได้ตัดใจเสียที ไหนๆ ตอนนี้มันก้เจ็บปวดอยู่แล้วจะมีมากกว่านี้อีกก็คงไม่ถึงกับตายหรอกมั๊ง แต่คิดดีๆ แล้วคนที่น่าจะต้องเป็นฝ่ายเคลียร์มันไม่ควรจะเป็นเราไม่ใช่หรือ
ก็ลองดู วัดใจกันไป คนเราคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน แต่ถ้ามันไม่ใช่ถ้าถึงเวลามันก็ต้องแยกกันไปอยู่ดี
น่าจะเริ่มชินแล้วนะกับความรู้สึกล่องลอยอย่างนี้ แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี แม้ว่าวันนี้น้ำตาจะแห้งหายไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คิดเรื่องเดิมมันก็พร้อมที่จะไหลออกมาได้อีก เวลารักมันช่างง่ายดาย แต่ทำไมเวลาเจ็บปวดมันอยู่ทนได้ขนาดนี้นะ
ใจนึงก็อยากเคลียร์ให้รู้แล้วรู้รอด จะเอายังไงก็ว่ามา ถ้ายังจะรักกันก็ตกลงกันให้เป็นเรื่องเป็นราว ถ้าไม่คิดจะรักกันแล้วก็จะได้ตัดใจเสียที ไหนๆ ตอนนี้มันก้เจ็บปวดอยู่แล้วจะมีมากกว่านี้อีกก็คงไม่ถึงกับตายหรอกมั๊ง แต่คิดดีๆ แล้วคนที่น่าจะต้องเป็นฝ่ายเคลียร์มันไม่ควรจะเป็นเราไม่ใช่หรือ
ก็ลองดู วัดใจกันไป คนเราคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน แต่ถ้ามันไม่ใช่ถ้าถึงเวลามันก็ต้องแยกกันไปอยู่ดี
วันอังคาร, มกราคม 26, 2553
"ศรัทธา" และ "ความเชื่อมั่น" สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่พังทลายได้เพียงชั่วข้ามคืน
แม้จะคิดว่า เขียนไปทำไม.. ให้ตัวเองเกิดความหวัง แล้วก็รอว่ามันคงจะสื่อไปให้เค้าเข้าใจได้
ก็รู้ว่าเป็นคนไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ นอกจากจะเป็นเรื่องวิชาการที่สนใจเท่านั้น นับวันเมลที่ส่งไปคุยก็ไม่ใส่ใจที่จะอ่านเท่าไหร่อยู่แล้ว ถึงถ้าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อน่ารำคาญชวนให้อึดอัดใจ อย่างมากที่สุดก็คงได้แค่ผ่านสายตาเท่านั้น ไอ้เรื่องจะหวังให้อ่านแล้วคิดไปด้วยลืมไปได้เลย
แต่ก็ยังอยากเขียน อย่างน้อยก็เป็นสิ่งย้ำเตือนใจตัวเองให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเพื่อระบายความรู้สึกที่เรามีอยู่ การให้ความสำคัญกับตัวอักษรก็เท่ากับว่าเราค่อยๆ มองย้อนกลับไปอีกครั้งอย่างช้าๆ เพื่อดูว่าเราได้ผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะถึงบทสรุป
การที่ได้หยุดอยู่นิ่งๆ อย่างนี้
ภายใต้ความรู้สึกทรมาณมันก็ทำให้เรามองเห็นอะไรๆ ในมุมที่ต่างไปจากเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นความรักของตัวเองที่มีต่อคนๆ หนึ่ง หรือโอกาสที่จะวิเคราะห์พฤติกรรมของคนที่เราเชื่อมั่นว่าเค้ารักเรา แล้วก็ได้รู้ว่ามีหลายอย่างที่เรามองข้ามมันไปทั้งที่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นพยายามบอกอะไรเรามาตลอดเพียงแต่เราไม่เคยที่จะหันไปมองมัน กว่าจะได้เข้าใจก็เมื่ออะไรๆ เปลี่ยนไปจนไม่รู้ว่าจะดำเนินไปในรูปแบบไหน
มีคนถามว่า เสียใจทำไม?
"เราให้เค้าได้มั๊ยในสิ่งที่เค้าต้องการ ถ้าให้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป ไว้ถ้าเราให้ได้แล้วเค้ายังทำอย่างนี้ค่อยมาว่ากัน"
...เค้าจะรู้ไหมนะ ว่าคำพูดนั้นมันยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เจ็บลึกลงไปได้อีก
อยากบอกเหลือเกินว่าที่เสียใจอยู่นี่ก็เพราะให้ไปแล้วไง แล้วก็เสียใจที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แต่ก็ไม่เสียดายหรอกนะ เพราะถือว่าให้คนที่เรารัก
นึกถึงคำต่างๆ ที่เคยพูด
คำว่า "รัก" พูดยากเหลือเกิน เวลาที่อยากได้ยินก็ไม่เคยพูด ยิ่งถามก็ยิ่งไม่ตอบแถมยังพาลโกรธที่ไปบังคับให้พูดซะอีก ราวกับคำนี้ต้องเอ่ยมาจากใจเท่านั้น รู้นะว่าอยากได้ยิน แต่ไม่อยากโกหก ทำให้เราต้องรู้สึกผิดอีกที่ไปรุกรานความรู้สึกส่วนตัว แต่ทำไม "ยังไงก็รักคนเดียว" ถึงเอามาพูดในวันที่เพิ่งจะยอมรับผิดคำพูดด้วยการ "นอกใจ" อย่างนี้ล่ะ อยากถามเหลือเกินว่า ทำไมถึงกล้าพูดว่ารัก ทั้งที่เพิ่งจะทำร้ายคนที่ตัวเองรัก
"อยากทำอะไรก็ทำ โตแล้วคิดเองได้ ถ้าคิดว่าตัวเองทำถูกก็ทำไป"
คำพูดนี้ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำอะไรที่เสี่ยงต่อความไว้วางใจที่ได้รับ เราให้เกียรติคนที่เรารักนะ ไม่อยากทำให้เค้าผิดหวังในตัวเรา แต่คำเหล่านี้กลับย้อนมาหาเราด้วยความรู้สึกที่มั่นใจนี่แหละ ว่าสิ่งที่กระทำต้องผ่านการคิดไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้วถึงผลที่ตามมาจากการตัดสินใจ การเลือกที่จะ "ทำ" ก็แสดงว่าคิดแล้วสินะว่าระหว่างความต้องการของตัวเองกับหัวใจของคนที่บอกว่ารัก
"คิดสิว่า ไม่ใช่ของกู"
บอกกลายๆ หรือเปล่าว่าในเมื่อไม่ใช่ของกู ก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ให้เท่ากับอะไรๆ ที่เป็นของกู ที่บอกว่าไม่หึงไม่หวงก็คงเพราะคิดอย่างนี้ล่ะมั๊ง ใครจะเอาไปก็เชิญ ส่วนอะไรที่เป็นของกูจะทำอย่างไรก็ได้ โดยไม่ต้องสนใจใครหน้าไหน
ถ้ามีโอกาสได้พูด..
อยากจะบอกเค้านะว่าไม่ได้โกรธที่ไปทำอย่างนั้น แม้แต่ที่โกหกก็ยังไม่ได้ทำให้ฉุนขาดอย่างที่น่าจะเป็น แต่มันผิดหวัง เหมือนกับ "ศรัทธา" และ "ความเชื่อมั่น" ที่เคยมีมันหายไป..
แล้วก็..
เสียใจ.. ที่ตัวเองไม่ดีพอจะทำให้ "คิดได้"
เสียใจ.. ที่สิ่งที่ทำไปทั้งหมดไม่มีค่าพอให้ควรรักษาเอาไว้
ก็รู้ว่าเป็นคนไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ นอกจากจะเป็นเรื่องวิชาการที่สนใจเท่านั้น นับวันเมลที่ส่งไปคุยก็ไม่ใส่ใจที่จะอ่านเท่าไหร่อยู่แล้ว ถึงถ้าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อน่ารำคาญชวนให้อึดอัดใจ อย่างมากที่สุดก็คงได้แค่ผ่านสายตาเท่านั้น ไอ้เรื่องจะหวังให้อ่านแล้วคิดไปด้วยลืมไปได้เลย
แต่ก็ยังอยากเขียน อย่างน้อยก็เป็นสิ่งย้ำเตือนใจตัวเองให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเพื่อระบายความรู้สึกที่เรามีอยู่ การให้ความสำคัญกับตัวอักษรก็เท่ากับว่าเราค่อยๆ มองย้อนกลับไปอีกครั้งอย่างช้าๆ เพื่อดูว่าเราได้ผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะถึงบทสรุป
การที่ได้หยุดอยู่นิ่งๆ อย่างนี้
ภายใต้ความรู้สึกทรมาณมันก็ทำให้เรามองเห็นอะไรๆ ในมุมที่ต่างไปจากเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นความรักของตัวเองที่มีต่อคนๆ หนึ่ง หรือโอกาสที่จะวิเคราะห์พฤติกรรมของคนที่เราเชื่อมั่นว่าเค้ารักเรา แล้วก็ได้รู้ว่ามีหลายอย่างที่เรามองข้ามมันไปทั้งที่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นพยายามบอกอะไรเรามาตลอดเพียงแต่เราไม่เคยที่จะหันไปมองมัน กว่าจะได้เข้าใจก็เมื่ออะไรๆ เปลี่ยนไปจนไม่รู้ว่าจะดำเนินไปในรูปแบบไหน
มีคนถามว่า เสียใจทำไม?
"เราให้เค้าได้มั๊ยในสิ่งที่เค้าต้องการ ถ้าให้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป ไว้ถ้าเราให้ได้แล้วเค้ายังทำอย่างนี้ค่อยมาว่ากัน"
...เค้าจะรู้ไหมนะ ว่าคำพูดนั้นมันยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เจ็บลึกลงไปได้อีก
อยากบอกเหลือเกินว่าที่เสียใจอยู่นี่ก็เพราะให้ไปแล้วไง แล้วก็เสียใจที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แต่ก็ไม่เสียดายหรอกนะ เพราะถือว่าให้คนที่เรารัก
นึกถึงคำต่างๆ ที่เคยพูด
คำว่า "รัก" พูดยากเหลือเกิน เวลาที่อยากได้ยินก็ไม่เคยพูด ยิ่งถามก็ยิ่งไม่ตอบแถมยังพาลโกรธที่ไปบังคับให้พูดซะอีก ราวกับคำนี้ต้องเอ่ยมาจากใจเท่านั้น รู้นะว่าอยากได้ยิน แต่ไม่อยากโกหก ทำให้เราต้องรู้สึกผิดอีกที่ไปรุกรานความรู้สึกส่วนตัว แต่ทำไม "ยังไงก็รักคนเดียว" ถึงเอามาพูดในวันที่เพิ่งจะยอมรับผิดคำพูดด้วยการ "นอกใจ" อย่างนี้ล่ะ อยากถามเหลือเกินว่า ทำไมถึงกล้าพูดว่ารัก ทั้งที่เพิ่งจะทำร้ายคนที่ตัวเองรัก
"อยากทำอะไรก็ทำ โตแล้วคิดเองได้ ถ้าคิดว่าตัวเองทำถูกก็ทำไป"
คำพูดนี้ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำอะไรที่เสี่ยงต่อความไว้วางใจที่ได้รับ เราให้เกียรติคนที่เรารักนะ ไม่อยากทำให้เค้าผิดหวังในตัวเรา แต่คำเหล่านี้กลับย้อนมาหาเราด้วยความรู้สึกที่มั่นใจนี่แหละ ว่าสิ่งที่กระทำต้องผ่านการคิดไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้วถึงผลที่ตามมาจากการตัดสินใจ การเลือกที่จะ "ทำ" ก็แสดงว่าคิดแล้วสินะว่าระหว่างความต้องการของตัวเองกับหัวใจของคนที่บอกว่ารัก
"คิดสิว่า ไม่ใช่ของกู"
บอกกลายๆ หรือเปล่าว่าในเมื่อไม่ใช่ของกู ก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ให้เท่ากับอะไรๆ ที่เป็นของกู ที่บอกว่าไม่หึงไม่หวงก็คงเพราะคิดอย่างนี้ล่ะมั๊ง ใครจะเอาไปก็เชิญ ส่วนอะไรที่เป็นของกูจะทำอย่างไรก็ได้ โดยไม่ต้องสนใจใครหน้าไหน
ถ้ามีโอกาสได้พูด..
อยากจะบอกเค้านะว่าไม่ได้โกรธที่ไปทำอย่างนั้น แม้แต่ที่โกหกก็ยังไม่ได้ทำให้ฉุนขาดอย่างที่น่าจะเป็น แต่มันผิดหวัง เหมือนกับ "ศรัทธา" และ "ความเชื่อมั่น" ที่เคยมีมันหายไป..
แล้วก็..
เสียใจ.. ที่ตัวเองไม่ดีพอจะทำให้ "คิดได้"
เสียใจ.. ที่สิ่งที่ทำไปทั้งหมดไม่มีค่าพอให้ควรรักษาเอาไว้
วันจันทร์, มกราคม 25, 2553
ทำอย่างไรดีนะ...
จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย...
มันอื้อๆ ชาๆ แล้วก็อยากอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไร รู้สึกเหมือนคนกำลังเคว้งคว้างเพราะสูญเสียอะไรสักอย่างที่ยึดถือมานาน
แล้วที่ผ่านมาเราเชื่อมั่นลมๆ แล้งๆ ไปคนเดียวใช่ไหม?
แม้ว่าลึกๆ ก็เหมือนจะรู้และยอมรับอยู่กลายๆ แล้วว่าผู้ชายทั่วไปคิดอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ สำหรับเพศผู้ทั้งหลาย การ "เที่ยวผู้หญิง" ไม่ใช่สิ่งผิดตราบเท่าที่ไม่ได้ผูกพันอะไร เหมือนหิวข้าวก็กินข้าวอิ่มแล้วก็จบกันเท่านั้นเอง เป็นเพียงการระบายความใคร่ไปพร้อมๆ กับการแสดงพลังของตัวเองเหนือเพศตรงข้าม
แต่จะมีผู้ชายคนไหนเคยคิดบ้างไหมว่าผู้หญิงจะรู้สึกอย่างไรที่ได้รู้ว่าคนที่ตัวเองรักไปแลกเปลี่ยนสสารกับผู้หญิงคนอื่น แม้จะไม่ได้มีเป็นตัวเป็นตน แต่แค่คิดว่าคนของเราเคยไปจับต้อง ไปทำอะไรต่อมิอะไรกับคนอื่นมันก็รู้สึกไม่ดีแล้ว
ทั้งที่รู้ว่าคนๆ นั้นผ่านผู้ชายอื่นมาไม่รู้เท่าไหร่ ก็ยังสามารถ "กระทำ" ซ้ำรอยกันไปได้ เอาตัวเองที่สะอาดบริสุทธิ์ไปกลั้วกับมลทิน แล้วยังคิดอีกว่าเป็นการผ่อนคลาย แก้เครียด ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเสีย
แต่กับผู้หญิงของตัวเองนั้นถ้าเป็นไปได้จะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยตกเป็นของใครมาก่อน จะต้องรักเดียวใจเดียวไม่นอกใจและไม่นอกกายกับคนอื่นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นผลที่ได้รับก็คือ "เลิกรา" เพราะเมียจะต้องเป็นของผัวได้เพียงคนเดียว มันช่างต่างกับน้องๆ ทั้งหลายที่ผู้ชายใช้ต่อๆ กันได้อย่างไม่รู้สึกรังเกียจ
ตัวเราเองก็เหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไปน่ะแหละที่คาดหวังว่าคนที่จะมาเป็นสามีก็ควรจะทำตัวให้คู่ควรกับการที่เราได้รักษาตัวเองมาเพื่อเค้า ลืมไปเสียสนิทว่า ตัวเองก็ทำตัวไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมสักเท่าไหร่ ที่ริอาจข้ามขั้นชิงสุกก่อนห่าม มัวแต่ลำพองใจว่าตัวเองโตแล้วรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป มองข้ามความจริงที่ว่า ทัศนคติของคนเรามันแสดงออกจากสิ่งที่เค้ากระทำนั่นแหละ ถ้าเค้าทำกับเราได้ เค้าก็ทำกับคนอื่นได้เช่นกัน ในเมื่อมันไม่ใช่สิ่งที่ผิดในสายตาเค้า ส่วนตัวเราในเมื่อเราก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ การที่เรายอมให้อะไรๆ มันเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องยอมรับสภาพและผลที่ตามมาสินะ
นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่รู้สึกโกรธเลยกับสิ่งที่ได้รู้ กลับขอบคุณที่เค้ากล้ายอมรับความจริง แต่รู้สึกหมดแรง หมดกำลังใจมากกว่า มันเหมือนรอยกรีดที่บาดลึกลงในใจ เลือดค่อยๆ ซึมไหลออกมาให้รู้สึกเจ็บปวดตลอดเวลา สิ่งที่น่าเสียใจมากที่สุดคือ "ความเชื่อใจ" ที่เราพยายามบอกตัวเองให้ยอมรับมาเป็นสิบปีและยึดถือไว้มาตลอดสามปีกว่าๆ ที่รับรู้และให้อภัยในสิ่งที่เค้าสารภาพ และเชื่อมั่นคำพูดของเค้าว่าจะไม่มีอย่างนั้นอีก
ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา 13 ปี แม้จะไม่เคยที่จะเอ่ยออกมา แต่ไม่มีสักครั้งที่ผู้ชายคนนี้จะทำให้เราผิดหวัง ผู้ชายแสนดีที่ทำให้เรา "เชื่อมั่น" อย่าง "สนิทใจ" ว่าเค้าจะไม่มีวันทำให้เราเสียใจ เราศรัทธาในตัวผู้ชายคนนี้ที่เคยร้องไห้ต่อหน้าผู้หญิงเพราะความรู้สึกที่มีต่อแม่ เรานับถือจิตใจของเค้าที่แสนจะดีงามและละเอียดอ่อน เค้าคือคนที่เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผู้ชายของเรา ทำให้ได้รู้เพียงแค่เปิดใจเราก็จะเห็นว่ายังมีผู้ชายดีๆ อยู่ในโลกนี้ และความรักของคนต่างเพศเป็นเรื่องจริง จนในที่สุดเราก็กล้าที่จะมีความรัก
ถึงแม้ใครๆ จะบอกว่ามันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย
แต่สำหรับเรามันคือ "ความเชื่อใจ" ที่ถูกทำลายไป
มันเจ็บปวดนะเวลาที่ได้รู้ว่าสิ่งที่เราเชื่อมาตลอดมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง
หลังจากนั่งเสียใจมาเกือบทั้งวันทั้งคืน เราก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเราถึงไม่โกรธและไม่เกลียดเค้า
เพราะเราคิดว่าคนที่ไม่ดีพอคือตัวเราเอง..
การที่เค้าบอกว่าเบื่อๆ เซ็งๆ เลยออกไปเที่ยว เราคงแย่มากที่ไม่สามารถจะช่วยอะไรเค้าได้เลยสินะ
เพราะเราไม่สวย ไม่เซ็กซี่ ไม่ออดอ้อนออเซาะ เอาอกเอาใจไม่เป็น หรือเพราะไม่เก่งเรื่องอย่างว่า ไม่เร้าใจมากพอสำหรับเค้า
เข้าใจนะ.. สุดท้ายผู้ชายก็ชอบผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิง คนที่สวยน่ารักมากกว่า ผู้หญิงบ้านๆ ดูเป็นทอมก็ไม่ใช่ ผู้หญิงก็ไม่เชิงอย่างเรา ไม่มีลักษณะที่น่ารักน่าทะนุถนอมเอาเสียเลย นานวันเข้าความอ่อนไหว ความสดใสไร้เดียงสาก็ยิ่งหายไป แล้วมันจะเหลืออะไรให้น่าค้นหาอีกล่ะ..
ยิ่งคิดยิ่งละอายใจกับสิ่งที่ทำลงไปเมื่อวาน
นอกจากแสดงออกอะไรทุเรศๆ ไปแล้ว ยังได้รู้อีกว่าเราไม่สามารถจะ "สร้าง" ความรู้สึกอะไรได้เลยจริงๆ
จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย...
มันอื้อๆ ชาๆ แล้วก็อยากอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไร รู้สึกเหมือนคนกำลังเคว้งคว้างเพราะสูญเสียอะไรสักอย่างที่ยึดถือมานาน
แล้วที่ผ่านมาเราเชื่อมั่นลมๆ แล้งๆ ไปคนเดียวใช่ไหม?
แม้ว่าลึกๆ ก็เหมือนจะรู้และยอมรับอยู่กลายๆ แล้วว่าผู้ชายทั่วไปคิดอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ สำหรับเพศผู้ทั้งหลาย การ "เที่ยวผู้หญิง" ไม่ใช่สิ่งผิดตราบเท่าที่ไม่ได้ผูกพันอะไร เหมือนหิวข้าวก็กินข้าวอิ่มแล้วก็จบกันเท่านั้นเอง เป็นเพียงการระบายความใคร่ไปพร้อมๆ กับการแสดงพลังของตัวเองเหนือเพศตรงข้าม
แต่จะมีผู้ชายคนไหนเคยคิดบ้างไหมว่าผู้หญิงจะรู้สึกอย่างไรที่ได้รู้ว่าคนที่ตัวเองรักไปแลกเปลี่ยนสสารกับผู้หญิงคนอื่น แม้จะไม่ได้มีเป็นตัวเป็นตน แต่แค่คิดว่าคนของเราเคยไปจับต้อง ไปทำอะไรต่อมิอะไรกับคนอื่นมันก็รู้สึกไม่ดีแล้ว
ทั้งที่รู้ว่าคนๆ นั้นผ่านผู้ชายอื่นมาไม่รู้เท่าไหร่ ก็ยังสามารถ "กระทำ" ซ้ำรอยกันไปได้ เอาตัวเองที่สะอาดบริสุทธิ์ไปกลั้วกับมลทิน แล้วยังคิดอีกว่าเป็นการผ่อนคลาย แก้เครียด ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเสีย
แต่กับผู้หญิงของตัวเองนั้นถ้าเป็นไปได้จะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยตกเป็นของใครมาก่อน จะต้องรักเดียวใจเดียวไม่นอกใจและไม่นอกกายกับคนอื่นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นผลที่ได้รับก็คือ "เลิกรา" เพราะเมียจะต้องเป็นของผัวได้เพียงคนเดียว มันช่างต่างกับน้องๆ ทั้งหลายที่ผู้ชายใช้ต่อๆ กันได้อย่างไม่รู้สึกรังเกียจ
ตัวเราเองก็เหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไปน่ะแหละที่คาดหวังว่าคนที่จะมาเป็นสามีก็ควรจะทำตัวให้คู่ควรกับการที่เราได้รักษาตัวเองมาเพื่อเค้า ลืมไปเสียสนิทว่า ตัวเองก็ทำตัวไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมสักเท่าไหร่ ที่ริอาจข้ามขั้นชิงสุกก่อนห่าม มัวแต่ลำพองใจว่าตัวเองโตแล้วรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป มองข้ามความจริงที่ว่า ทัศนคติของคนเรามันแสดงออกจากสิ่งที่เค้ากระทำนั่นแหละ ถ้าเค้าทำกับเราได้ เค้าก็ทำกับคนอื่นได้เช่นกัน ในเมื่อมันไม่ใช่สิ่งที่ผิดในสายตาเค้า ส่วนตัวเราในเมื่อเราก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ การที่เรายอมให้อะไรๆ มันเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องยอมรับสภาพและผลที่ตามมาสินะ
นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่รู้สึกโกรธเลยกับสิ่งที่ได้รู้ กลับขอบคุณที่เค้ากล้ายอมรับความจริง แต่รู้สึกหมดแรง หมดกำลังใจมากกว่า มันเหมือนรอยกรีดที่บาดลึกลงในใจ เลือดค่อยๆ ซึมไหลออกมาให้รู้สึกเจ็บปวดตลอดเวลา สิ่งที่น่าเสียใจมากที่สุดคือ "ความเชื่อใจ" ที่เราพยายามบอกตัวเองให้ยอมรับมาเป็นสิบปีและยึดถือไว้มาตลอดสามปีกว่าๆ ที่รับรู้และให้อภัยในสิ่งที่เค้าสารภาพ และเชื่อมั่นคำพูดของเค้าว่าจะไม่มีอย่างนั้นอีก
ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา 13 ปี แม้จะไม่เคยที่จะเอ่ยออกมา แต่ไม่มีสักครั้งที่ผู้ชายคนนี้จะทำให้เราผิดหวัง ผู้ชายแสนดีที่ทำให้เรา "เชื่อมั่น" อย่าง "สนิทใจ" ว่าเค้าจะไม่มีวันทำให้เราเสียใจ เราศรัทธาในตัวผู้ชายคนนี้ที่เคยร้องไห้ต่อหน้าผู้หญิงเพราะความรู้สึกที่มีต่อแม่ เรานับถือจิตใจของเค้าที่แสนจะดีงามและละเอียดอ่อน เค้าคือคนที่เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผู้ชายของเรา ทำให้ได้รู้เพียงแค่เปิดใจเราก็จะเห็นว่ายังมีผู้ชายดีๆ อยู่ในโลกนี้ และความรักของคนต่างเพศเป็นเรื่องจริง จนในที่สุดเราก็กล้าที่จะมีความรัก
ถึงแม้ใครๆ จะบอกว่ามันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย
แต่สำหรับเรามันคือ "ความเชื่อใจ" ที่ถูกทำลายไป
มันเจ็บปวดนะเวลาที่ได้รู้ว่าสิ่งที่เราเชื่อมาตลอดมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง
หลังจากนั่งเสียใจมาเกือบทั้งวันทั้งคืน เราก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเราถึงไม่โกรธและไม่เกลียดเค้า
เพราะเราคิดว่าคนที่ไม่ดีพอคือตัวเราเอง..
การที่เค้าบอกว่าเบื่อๆ เซ็งๆ เลยออกไปเที่ยว เราคงแย่มากที่ไม่สามารถจะช่วยอะไรเค้าได้เลยสินะ
เพราะเราไม่สวย ไม่เซ็กซี่ ไม่ออดอ้อนออเซาะ เอาอกเอาใจไม่เป็น หรือเพราะไม่เก่งเรื่องอย่างว่า ไม่เร้าใจมากพอสำหรับเค้า
เข้าใจนะ.. สุดท้ายผู้ชายก็ชอบผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิง คนที่สวยน่ารักมากกว่า ผู้หญิงบ้านๆ ดูเป็นทอมก็ไม่ใช่ ผู้หญิงก็ไม่เชิงอย่างเรา ไม่มีลักษณะที่น่ารักน่าทะนุถนอมเอาเสียเลย นานวันเข้าความอ่อนไหว ความสดใสไร้เดียงสาก็ยิ่งหายไป แล้วมันจะเหลืออะไรให้น่าค้นหาอีกล่ะ..
ยิ่งคิดยิ่งละอายใจกับสิ่งที่ทำลงไปเมื่อวาน
นอกจากแสดงออกอะไรทุเรศๆ ไปแล้ว ยังได้รู้อีกว่าเราไม่สามารถจะ "สร้าง" ความรู้สึกอะไรได้เลยจริงๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)