แม้จะคิดว่า เขียนไปทำไม.. ให้ตัวเองเกิดความหวัง แล้วก็รอว่ามันคงจะสื่อไปให้เค้าเข้าใจได้
ก็รู้ว่าเป็นคนไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ นอกจากจะเป็นเรื่องวิชาการที่สนใจเท่านั้น นับวันเมลที่ส่งไปคุยก็ไม่ใส่ใจที่จะอ่านเท่าไหร่อยู่แล้ว ถึงถ้าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อน่ารำคาญชวนให้อึดอัดใจ อย่างมากที่สุดก็คงได้แค่ผ่านสายตาเท่านั้น ไอ้เรื่องจะหวังให้อ่านแล้วคิดไปด้วยลืมไปได้เลย
แต่ก็ยังอยากเขียน อย่างน้อยก็เป็นสิ่งย้ำเตือนใจตัวเองให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเพื่อระบายความรู้สึกที่เรามีอยู่ การให้ความสำคัญกับตัวอักษรก็เท่ากับว่าเราค่อยๆ มองย้อนกลับไปอีกครั้งอย่างช้าๆ เพื่อดูว่าเราได้ผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะถึงบทสรุป
การที่ได้หยุดอยู่นิ่งๆ อย่างนี้
ภายใต้ความรู้สึกทรมาณมันก็ทำให้เรามองเห็นอะไรๆ ในมุมที่ต่างไปจากเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นความรักของตัวเองที่มีต่อคนๆ หนึ่ง หรือโอกาสที่จะวิเคราะห์พฤติกรรมของคนที่เราเชื่อมั่นว่าเค้ารักเรา แล้วก็ได้รู้ว่ามีหลายอย่างที่เรามองข้ามมันไปทั้งที่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นพยายามบอกอะไรเรามาตลอดเพียงแต่เราไม่เคยที่จะหันไปมองมัน กว่าจะได้เข้าใจก็เมื่ออะไรๆ เปลี่ยนไปจนไม่รู้ว่าจะดำเนินไปในรูปแบบไหน
มีคนถามว่า เสียใจทำไม?
"เราให้เค้าได้มั๊ยในสิ่งที่เค้าต้องการ ถ้าให้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป ไว้ถ้าเราให้ได้แล้วเค้ายังทำอย่างนี้ค่อยมาว่ากัน"
...เค้าจะรู้ไหมนะ ว่าคำพูดนั้นมันยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เจ็บลึกลงไปได้อีก
อยากบอกเหลือเกินว่าที่เสียใจอยู่นี่ก็เพราะให้ไปแล้วไง แล้วก็เสียใจที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แต่ก็ไม่เสียดายหรอกนะ เพราะถือว่าให้คนที่เรารัก
นึกถึงคำต่างๆ ที่เคยพูด
คำว่า "รัก" พูดยากเหลือเกิน เวลาที่อยากได้ยินก็ไม่เคยพูด ยิ่งถามก็ยิ่งไม่ตอบแถมยังพาลโกรธที่ไปบังคับให้พูดซะอีก ราวกับคำนี้ต้องเอ่ยมาจากใจเท่านั้น รู้นะว่าอยากได้ยิน แต่ไม่อยากโกหก ทำให้เราต้องรู้สึกผิดอีกที่ไปรุกรานความรู้สึกส่วนตัว แต่ทำไม "ยังไงก็รักคนเดียว" ถึงเอามาพูดในวันที่เพิ่งจะยอมรับผิดคำพูดด้วยการ "นอกใจ" อย่างนี้ล่ะ อยากถามเหลือเกินว่า ทำไมถึงกล้าพูดว่ารัก ทั้งที่เพิ่งจะทำร้ายคนที่ตัวเองรัก
"อยากทำอะไรก็ทำ โตแล้วคิดเองได้ ถ้าคิดว่าตัวเองทำถูกก็ทำไป"
คำพูดนี้ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำอะไรที่เสี่ยงต่อความไว้วางใจที่ได้รับ เราให้เกียรติคนที่เรารักนะ ไม่อยากทำให้เค้าผิดหวังในตัวเรา แต่คำเหล่านี้กลับย้อนมาหาเราด้วยความรู้สึกที่มั่นใจนี่แหละ ว่าสิ่งที่กระทำต้องผ่านการคิดไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้วถึงผลที่ตามมาจากการตัดสินใจ การเลือกที่จะ "ทำ" ก็แสดงว่าคิดแล้วสินะว่าระหว่างความต้องการของตัวเองกับหัวใจของคนที่บอกว่ารัก
"คิดสิว่า ไม่ใช่ของกู"
บอกกลายๆ หรือเปล่าว่าในเมื่อไม่ใช่ของกู ก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ให้เท่ากับอะไรๆ ที่เป็นของกู ที่บอกว่าไม่หึงไม่หวงก็คงเพราะคิดอย่างนี้ล่ะมั๊ง ใครจะเอาไปก็เชิญ ส่วนอะไรที่เป็นของกูจะทำอย่างไรก็ได้ โดยไม่ต้องสนใจใครหน้าไหน
ถ้ามีโอกาสได้พูด..
อยากจะบอกเค้านะว่าไม่ได้โกรธที่ไปทำอย่างนั้น แม้แต่ที่โกหกก็ยังไม่ได้ทำให้ฉุนขาดอย่างที่น่าจะเป็น แต่มันผิดหวัง เหมือนกับ "ศรัทธา" และ "ความเชื่อมั่น" ที่เคยมีมันหายไป..
แล้วก็..
เสียใจ.. ที่ตัวเองไม่ดีพอจะทำให้ "คิดได้"
เสียใจ.. ที่สิ่งที่ทำไปทั้งหมดไม่มีค่าพอให้ควรรักษาเอาไว้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น