วันพุธ, กุมภาพันธ์ 20, 2551

ผีบ้า เที่ยวล่าสุด

ที่เห็นว่าวันนี้มาอัป 2 รอบน่ะไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ อันที่แล้วเป็นข้อความที่นั่งพิมพ์ในร้านเน็ตเมื่อคืนนี้ แต่ไม่สามารถจะอัปได้เพราะ "กู" ฉลาดเกินไปอีกแล้ว มันแจ้งว่าที่ๆ เราอยู่อาจมี virus or spyware ให้เรา scan ตัวเองก่อนเพื่อความปลอดภัยของมัน ซึ่งเราก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะมันก็ธรรมดาของร้านเน็ตล่ะนะ ไม่มีน่ะสิแปลก 555

ส่วนอันนี้ข้อความสดๆ ร้อนๆ พิมพ์ไป คิดไปเลยล่ะ

เหตุต่อเนื่องจากเมื่อคืน หลังจากที่กลับบ้านไปเผชิญกับปัญหาอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนเรื่องไม่จบง่ายๆ เรียกว่าเกือบทั้งคืนผ่านไปกับการไปนอนอยู่ใน bath tub เพราะรำคาญเสียงร้องไห้ คร่ำครวญจากความเจ็บปวด อันเป็นผลจากการทะเลาะกัน แล้วต่างคนก็ไม่ยอม เครียดไปทั้งคู่ คนนึง (เราเอง) มึนไปหมด ทั้งหนักหัว ทั้งง่วง ทั้งหิว กะอีกคนนึง ปวดหัวเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งเสียใจและหิว เฮ้อ... ผลของการโมโห การโกรธ ไม่เคยดีกับใครเลยจริงๆ

ผ่านคืนนั้นทั้งคืนมาอย่างยากลำบาก แต่พอตอนเช้ามันหนักกว่านั้นเยอะ เราพยายามที่จะยืนยันคำเดิม "เย็นนี้ไม่ว่าง" แม้จะบอกไปตามตรงแล้วก็ตามว่าไม่ได้นัดกับใครที่ไหนไว้ ก็แค่อยากมีเวลาให้ตัวเองได้คิดว่าจะไปไหน ไปทำอะไรกับใคร ไม่อยากเดินตามวังวนเดิมๆ ก็แค่นั้น แต่เธอ คนที่พยายามแต่ "ขอร้อง" "เป็นครั้งสุดท้าย" โดยให้เหตุผลว่าครั้งที่แล้ว ครั้งสุดท้ายเพื่อจะพาเราไปหาหมอ ดูแผลที่คอ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเรา แต่ครั้งนี้ขอร้องเพื่อตัวเอง ทั้งที่เรายืนยันว่า "ไม่" ก็ไม่ยอมง่ายๆ ในที่สุดก็มาเอาชนะด้วยการไม่ยอมลงจากรถ โอเค.. ไม่ลงก็ไม่ลง วนรถกลับกะว่ามาจอดลานข้างหลังก็ได้วะ ไม่เอารถขึ้นก็ได้จะได้ไม่มีเรื่องเอาคนนอกขึ้นตึก แต่ยังไม่ทันจะวนลงสะพานดี เธอก็เปิดประตูจะกระโดดลงกลางถนนให้เป็นความลำบากแก่ชาวบ้าน จนเราอดไม่ได้ที่จะ "ชก" ไปทีนึง น่าจะเป็นที่หัว ทำให้นิ่งไปเลยด้วยความปวดหัว แล้วในที่สุด ความบ้าก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ..... กูเจ็บ เมิงรู้บ้างไหม .. เคยสงสารบ้างไหม.. และอื่นๆ อีกมากมาย ช่างเหมือนภาพ replay ของวันนั้นจริงๆ หึๆๆ แล้วก็ได้เห็นว่าเค้าก็บ้าอย่างที่มีคนเคยพูดไว้จริงๆ ด้วย

หลังจากเล่นมิวสิคลงรถ แล้วล้มคว่ำข้างรถ จนเราต้องไปหอบหิ้วขึ้นมาอีกครั้ง เพราะไม่อยากให้คนแถวนั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องทำร้ายกัน มันก็แค่ความอวดดี หยิ่งผยองของคนที่คิดว่าตัวเองแน่ก็เท่านั้น พอเข้ามาได้โดนเราด่าไปหลายที คราวนี้ผีบ้าก็อาละวาดจนได้ ทั้งชก ทั้งตบ ทั้งถีบ อยู่ในรถ ไอ้เราก็พยายามไม่ตอบโต้แค่จับแล้วปัดๆๆๆ จนทนไม่ได้เอาวะ สู้บ้าง พอโดนชกไป 2-3 ที ถึงขั้นเงียบ เฮ้ออออ ถ้ารู้งี้ ไม่ยอมเจ็บตัวจนปากแตก มือเจ็บหรอกวะ

เกลียดจริงๆ ผีบ้าเนี่ย เรื่องพักรบด้วยการลงที่ป้ายรถเมล์หน้าออฟฟิศ ส่วนต่อไปจะเป็นยังไง ก็คงต้องติดตามตอนต่อไปล่ะ

ข้อความจาก net cafe

จะเชื่อไหมเนี่ยว่าวันนี้มาอัปบล็อคจากร้านเน็ต!!

555 แฟร้งค์ๆ ค่ะ ร้านเน็ตจริงๆ เป็นเวลานานแสนนานที่ไม่เคยมาแผ้วพาลร้านเน็ต คาเฟ่ (มั๊ง) อย่างนี้

เรื่องของเรื่องคือ "มีเรื่อง" ไงคะ อารมณ์มันค้างมาตั้งแต่ช่วงบ่ายที่โทรศัพท์ทั้ง GSM และ DTAC ต่างก็ประสบปัญหาต่างๆ กัน ใครจะไปเชื่อคือว่าผีโทรศัพท์หลอก มีที่ไหนล่ะ profile เปลี่ยนเองได้ เดี๋ยวๆ ไม่หือ ไม่อือ ทั้งที่เราไม่ได้ไปแตะมันเลย (เท่าที่มีสตินะ) เดี๋ยวๆ เจอ blocked call ไม่งั้นก็มี call diverted ให้ปวดประสาทเล่น จนทุกวันนี้ชักจะเริ่มเชื่อว่าน้อง HP ที่จากไปเกิดจากเงื้อมมือตัวเอง T_T แง่งง...ง หลอกไปหลอกมา เริ่มหลอกตัวเองแล้วสิเนี่ย


โว้ย...ย...ยยย เซ็ง ..... เครียดดด.ดด
อยากจะกรี๊ดให้ลั่นบล็อก กะปัญหาบ้าๆ บอๆ ที่รบกวนมานานแต่ไม่จบเสียที
และวันนี้ก็เช่นกัน เถียงๆ กัน จบลงท้ายที่ ... คือ ไม่จบอีกตามเคย จะเข้าบ้านก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะมีผีในรถได้หากล็อกประตูซะตอนนั้น หรือไม่น้องเดียร์ก็อาจจะเจ็บตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างไม่ตั้งใจ ในเมื่อไม่สามารถทำอย่างที่ตั้งใจได้ ผลก็เลยลงเอยที่การเดินๆๆๆ ออกมาอย่างไร้จุดหมายและไร้เงินสักบาท

อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ไม่มีตังค์ติดตัวสักบาทเลยจริงๆ เดินดุ่มๆ ออกมาจนเจอตู้ BBL จึงสามารถหาเงินมาต่อชะตาตัวเองได้ แล้วสิ่งต่อไปที่ think หมาดๆ หลังจากเงยหน้าขึ้นสบตาผู้คนได้ก็คือ "ร้านเน็ต" แห่งนี้แหละค่ะ

ตอนแรกตั้งใจกะว่าไหนๆ ก็เล่นที่ออฟฟิศไม่ได้ เล่นที่บ้านก็ไม่ได้ งั้นโหลดมันที่ร้านที่ล่ะวะ 555 ด้วยความโง่ ลืมไปว่าร้านเน็ตมันไม่มี usb อย่าว่าแต่ port เลย แค่ไดร์ฟสักตัวมันก็ไม่มี ก็วัตภุประสงค์เค้ามีไว้เล่นเกมส์ออนไลน์นี่นา ทั้งร้าน นอกจากเราที่เปิด notepad นั่งพิมพ์ยิกๆ ก็มีแต่ counter, pangya และเกมส์อื่นๆ ที่ป้าเกิดไม่ทัน -_-" ทั้งนั้น ก็คิดว่าเปลี่ยนบรรยากาศ ดีกว่านั่งเศร้าจมกองน้ำตาตัวเองและคนอื่นให้สมองมันเครียด เอาเวลามานั่งอยู่คนเดียวให้ใจมันหายฟุ้งซ่านสักนิดยังดีกว่า

ด้วยคำถามเดิมๆ ในใจ "ถ้าไม่มีเค้า เราจะเป็นยังไง" คนที่เราคิดถึงตอนนี้เค้าจะดูแลเราได้ไหมนะ แล้ววันนึงคนๆ นั้นจะจากเราไปเหมือนที่เราพยายามจะจากใครบางคนตอนนี้หรือเปล่านะ คำถามเหล่านี้เคยถามมาหลายครั้งมากๆ และคำตอบที่ได้ก็คือ

"ไม่ทราบครับ มันเป็นเรื่องของอนาคต บอกไม่ได้"

อืมม นั่นสินะ ที่จริงมันก็เป็นเรื่องจริง คิดๆ ไปว่า หากเราเจอคำถามนี้เราจะตอบว่าไง.. ก็คงเหมือนกันค่ะ ตอบไม่ได้.. ทั้งที่รู้อย่างนี้แต่มันก็ยังมีความกลัวลึกๆ ในใจอยู่ดี รู้ตัวเองดีว่าเป็นคนขี้เหงาและอ่อนแอมากๆ หากไม่มีเธอคนนั้นจะเป็นยังไง มันอาจจะดีขึ้น feel free อย่างที่ต้องการ หรือมันอาจจะแย่ลง หากอะไรๆ มันไม่เป็นอย่างที่เราคิดว่ามันเป็นอยู่ตอนนี้ ยิ่งนึกถึงคำพูดของน้องที่รู้จักคนนึงที่ว่า คนเรานี่ก็แปลกนะ หลายๆ ครั้งที่เราต้องตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิต

ขวา..ทางเดินที่เห็นได้ชัดว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร แล้วทางนั้นมันจะพาไปยังจุดใด มันเป็นอนาคตที่ดี แต่ราบเรียบเหมือนเราเดินตรงไปตามทางนั้น

กับ

ซ้าย..ทางที่มันมืดไม่อาจมองเห็นได้ว่าจะเป็นอย่างไร มันอาจจะพาเราไปในทางที่มืดมนกว่านี้ หรืออาจจะเป็นทางที่ดีกว่าก็ได้

ทั้งที่เห็นข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจน แต่ก็นั่นล่ะ..สิ่งที่เรามองไม่เห็นมันก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย จริงไหม?? สุดท้ายแล้วน้องคนนั้นก็เลือกทางซ้าย คือ ไปเริ่มต้นทำงานกับบริษัทใหม่ และเท่าที่รู้เค้าก็น่าจะมีความสุขกับทางที่เค้าเลือกดี

เพราะอย่างนั้น แม้เราจะเห็นว่าทางที่เดินในตอนนี้มันเป็นอย่างไร ราบเรียบและเงียบสงบขนาดไหน แต่ใจเรามันบอกตัวเองอยู่ลึกๆ ตลอดเวลา ว่าเราอยากเลือกทางที่เรามองเห็นอยู่ไกลๆ แต่ไม่เคยสัมผัสมันอย่างใกล้ชิด บางทีทางเดินที่เราคิดว่ามันน่าจะดีกับเรา มันอาจจะตรงกันข้ามก็ได้

หนาวจัง ... ที่รู้สึกอย่างนี้เพราะแอร์มันเย็น หรือเราเองที่โดดเดียวกันแน่นะ

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 13, 2551

น้ำตา 1 ลิตร .. 1 Litre of Tear

ตั้งแต่หลังปีใหม่มา เพิ่งจะมีโอกาสได้มาอัปบล็อกนี่แหละ และก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้จะมีเวลา (และโอกาส) จะมาอัปตอนกลางวันหรือไม่ เพราะได้ยิน "แผน" แว่วๆ มาตั้งแต่ปลายปีก่อน ว่าของท่านๆ ที่นี่ จะส่งโปรแกรมมาแทรกการทำงานของแต่ละเครื่อง คาดว่าคงจะทนไม่ได้กับการรับมือกับข้อมูลขนาดยักษ์ที่เคลื่อนที่ไปมาเข้านอก-ออกในบริษัท ที่นับวันมันก็ยิ่งโตขึ้นๆ ขนาดเราเองยังคิดว่ามันไม่มีทางที่จะลดลงได้เลย

ตอนแรกก็คิดว่าเพราะเราหรือเปล่าหว่า เป็นต้นเหตุใหญ่?? แต่ก็ได้ยินต่อมาว่าหลายๆ คนของบริษัทแม่ก็เล่นเน็ตกระจาย 555 ไม่โดนคนเดียวแล้วเว้ยยย อย่างน้อยก็คงมีคนโดนเป็นเพื่อนอยู่ล่ะนะ

ก็พอเข้าใจหรอกนะว่าทำไมถึงต้องลงทุนตรงนี้ แหม.. ก็เมื่อก่อนอย่างมากก็แค่เล่น net, webboard, msn ธรรมดา แต่พอเทคโนโลยีก้าวหน้ามันก็พัฒนาความคมชัดในลายละเอียด กลายเป็นก้อนข้อมูลอ้วนๆ เคลื่อนที่ไปๆ มาๆ โดยเฉพาะไอ้พวก realtime หรือ steamming ใหญ่ๆ นี่แหละตัวดี จน banwidth ที่ขยายแล้วขยายอีกไม่มีพอสักที เพื่อตัดปัญหานี้มันก็เลยเป็นที่มาของเจ้า See What? ที่กำลังจะเข้ามานี่แหละ

เฮ้อ.. ช่างมันเถอะนะ เล่นได้ก็เล่น เล่นไม่ได้ก็หาอย่างอื่นทำ ฮา...

อีกไม่นานก็เดือนสามละ สิ้นปีงบประมาณแห่งการตัดวันลา-มาสาย ประจำปี ซึ่งปีนี้เราคาดว่าโดนกระจายแน่ๆ T_T ที่จริงก็ปลงๆ กับตรงนี้แล้วนะ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเห็นเป็นตัวเลขนี่มันจะช้ำแค่ไหนกันน้อ.. ทำไงได้ก็มันป่วยจริงๆ นี่หว่า ปีก่อนนี่เรียกว่ามหกรรมรวมโรคเลยนะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยป่วยหนักและบ่อยขนาดนี้เลย ก็ได้แต่หวังว่าปีนี้คงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่เห็นวี่แววว่าจะเป็นอย่างนั้นเลยก็เถอะ

เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนติดหนังเรื่องหนึ่งอย่างมาก "1 Litre of Tear " หนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของเด็กสาวคนหนึ่งอายุเพียง15 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคทางสมอง Spinocerebellar Degeneration เป็นโรคที่รักษาไม่หาย โดยอาการของโรคจะทำให้แกนสมองเสื่อมลงอย่างช้าๆ ทำให้การควบคุมการเคลื่อนไหวค่อยๆ เสื่อมลง จากเดินไม่ได้ พูดไม่ได้ กินไม่ได้ สุดท้ายก็นอนอย่างเดียวจนหมดลมหายใจ ในขณะที่สมองส่วนความคิด ความเข้าใจยังคงทำงานเป็นปกติ ในที่สุดจากเด็กสาวอายุ 15 ปี เรียนเก่ง เป็นนักกีฬา เป็นที่รักของทุกคน กลายเป็นคนพิการมากขึ้นในทุกๆ วันจนตายไปเมื่ออายุเพียง 25 ปี

จะเป็นอย่างไรบ้างนะ ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าอีกหน่อยจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง??

รู้ว่าทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาว่าจะมีสิ่งที่ทำไม่ได้เพิ่มขึ้นทีละอย่าง
และทุกๆ วันเรื่องธรรมดาที่เคยทำได้ก็กลายเป็นเพียงสิ่งที่ "เคยทำได้"
และวันหนึ่งก็ต้องตายไปโดยไม่มีแม้โอกาสที่จะคำพูดสุดท้ายกับคนที่สำคัญที่สุด

ได้ข้อคิดจากเรื่องนี้เยอะนะ หลายๆ ประโยคทำให้เราได้ฉุกคิดขึ้นมาในฐานะในปกติธรรมดา และคนที่กำลังมีอาการทางสมองเหมือนกัน แม้ว่าเราคงจะไม่ได้เป็นโรคเดียวกับ Kito Aya แต่อย่างน้อยความกลัวในสิ่งที่ตัวเองจะทำมันก็คงมีเหมือนๆ กัน ในขณะที่เค้ากลัวว่าสิ่งที่จำได้ว่าเคยทำได้ จะกลายเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้แล้วในวันนี้ ส่วนเราสิ่งที่ทำในวันนี้อาจจะจำไม่ได้ในวันรุ่งขึ้น ยังไงอาการไม่ปกติก็คงไม่มีใครอยากจะเป็นหรอกนะ ถ้าเลือกได้..

คนที่เดินและวิ่งได้เป็นปกติ คงไม่เห็นความสำคัญของมัน เท่ากับคนที่วันนี้ต้องนั่งรถเข็น..
คนที่หยิบช้อนส้อมกินข้าวได้เอง คงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่สามารถบังคับตัวเองให้หยิบมันขึ้นมาได้..

และคำถามที่ถามออกมาว่า "ทำไม..โรคนี้ถึงเลือกหนู.."

งานสละโสดส่งท้ายปี 2007

วันนี้มีเรื่องแปลกกับชีวิตอีกแล้ว
จากตอนแรกที่นั่งคิดมาตั้งแต่เมื่อวานว่าจะเขียนเรื่องอะไรต่อไปดี ก่อนหลับตานอนก็ยังคิด..คิด..คิด อยู่พักใหญ่ แต่พอมาถึงออฟฟิศ ก็ต้องก้มหน้างุดๆ อยู่กับงานตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยง (มีแอบแว่บหน่อยนึง ไปดูนาฬิกา 555)

จนได้เวลาพักเที่ยงกำลังจะขับรถไปกินข้าวข้างตึก ก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งเบอร์ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามาพร้อมด้วยคำถามมากมาย หึๆ ถึงจะเคยคุ้นแต่วันนี้คงไม่คุ้นหรอก ก็ในเมื่อ sim ม้นไม่มีข้อมูลเหลือเลยนี่หว่า..

สวัสดีค่ะ อยู่ที่ไหนคะ ทำอะไรอยู่คะ สบายดีไหมคะ บลา..บลา..บลา พร้อมลงท้ายมาว่าจำได้ไหมคะว่าใคร..
"จะไปทราบได้ยังไงคะว่าใครโทรมา" เสียงเริ่มกริ้ว..ว อีกนิดนึงต่อมวีนจะแตกแล้ว ก็เล่นโทรมาเล่น 20 คำถามตอนกำลังหิวๆ
ใครจะไปรู้ล่ะฟะ โทรมาก็บอกชื่อเด่ะ เหมือนความคิดในหัวจะสื่อไปถึงได้ ปลายสายเริ่มเข้าใจสถานการณ์จึงส่งเสียงชายหนุ่มมาแทน
"จำได้ไหมว่าใคร พี่เปาเอง เมื่อกี้ก็อาจารย์มธุรพจน์ไง"

...ถึงบางอ้อ.. เออ จำได้ละ ชื่อนี้จะลืมได้ไงล่ะ เหอๆๆ
อืมมมม ดีนะที่ไม่ได้วีนกะ "ท่านหญิง" ไปเมื่อกี้ ไม่งั้นคงเสียลุคไปละ เจ้าเด็กเมื่อวานซืนคนนั้น มันจะเปลี่ยนเป็นขาวีนไปซะแล้วในวันนี้ แต่กับคนที่ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนักในระยะหลังๆ และยังมักจะคิดถึงเราในภาพเดิมๆ ดูมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แรงไปนิดดด ล่ะมั๊ง ว่ามะ

"พี่จะแต่งงานวันศุกร์นี้แล้วนะ"
"เหมือนเพื่อนแน็ตเลย แต่งศุกร์นี้เหมือนกัน ที่รามาการ์เด้น"
"จริงดิ.. ที่เดียวกันเลย"
เฮ้ย.. ชักเหวอแล้วดิ โลกมันจะกลมอะไรขนาดนั้นฟะ แต่แว่วๆ ว่าแฟนพี่หมูอยู่การบินไทยนี่หว่า แล้วตานี่ก็ไม่น่าจะอยู่ที่นั่นได้
"เจ้าสาวชื่อไร" พี่เปายิงคำถามมา ในเวลาที่สมองเอ๋อๆ กำลังประมวลผล
เออ..ใช่ ลืมถามไปได้ไงวะเนี่ย .. "ชื่อหมู"
"งั้นคงคนละงานแล้วล่ะ แต่วันเดียวกันเลย"

เฮ่อ.. นึกว่าจะกลมกลิ้ง แต่นี่ยังมีเหลี่ยมนิดนึง 555 ความบังเอิญก็ยังมี "แต่" เนอะ ^_^
"ทำงานที่ไหนเนี่ย ไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ"
"อยู่อีซูซุค่ะ ตึกตรีเพชร น่ะ"
"ที่วิภาวดีใช่เปล่า ใกล้ๆ กันเลย พี่อยู่ปตท.ส.ผ."
"เหรอ ใกล้กันเลย ไว้เจอกัน"
"อืม เดี๋ยวนัดกินข้าวกัน"
"ว่าแต่ สาวเจ้าเป็นใครคะเนี่ย อิอิ"
"ถ้าคุยเรื่องนี้มันยาวน่ะ ไว้นัดกินข้าวกันวันสองวันนี่แหละ"
"งั้นก็ได้ค่ะ ไว้คุยกัน"

วางสายไปพร้อมกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปจากก่อนรับสาย (...รู้สึกอึ้งนิดๆ แฮะ ไม่รู้จะบรรยายยังไง..) อือออ ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ 555
แต่ก็ไม่แปลกใจอะไรที่เค้าโทรมาเสียงเป็นกันเองมากๆ ก็งี้แหละนะ คนมันจะแต่งงานแล้วหนิ มันก็อารมณ์ดีน่ะสิ
ช่างผิดจากหน้าตาที่เคยเจอครั้งล่าสุด ที่มองเราอย่างกะจะฉีกเป็นชิ้นๆ (...เมิง...เลือกคนอื่นที่ไม่ใช่กรูได้ไง..)

นั่งกินข้าวกลางวันไป ก็นั่งระลึกถึงอดีตไป ค่อยๆ ย้อนความรู้สึกกลับมาทีละเรื่อง ..
อาหารเที่ยงอร่อยกว่าปกติ แม้ว่าจะต้องอกหักจากร้านแรกที่คิดจะไปกิน
เพราะยอมแพ้คนเรือนแสน และไม่มีเก้าอี้ว่างสักตัว! .

กลับมาถึงโต๊ะ โทรศัพท์ก็เขย่าอย่างแรงเหมือนกลัวว่าจะไม่รู้สึก เพราะไขมันบดบัง
อ๊ะ พี่เปาโทรมาอีกละ เออ..ก็ดี.. อัปเดตซะหน่อยนึง
นั่งคุยกันอยู่พักหนึ่งพอได้รู้ความเป็นไปในชีวิตเกือบ 10 ปีที่แทบไม่เคยเจอกัน เท่าที่ฟังเสียงรู้สึกว่าโตขึ้นนะ
มีวุฒิภาวะมากขึ้นไม่เจ้าอารมณ์เหมือนเมื่อก่อน ลดความเซลฟ์ไปหน่อยซึ่งก็ดี

เอาไว้ว่างๆ ค่อยนัดกินข้าวกันดีกว่า เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาหน่อย ก็คงต้องเป็น MK สินะ 555 (แต่ยุคนี้คงไม่ได้ราคาเหมือนเมื่อก่อนแน่ๆ)

..
..
..
..
..
ว่าจะอัปข้างบนนี้ตั้งแต่หลายอาทิตย์ก่อน แต่เนื่องจากบ้างานไปหน่อย (ที่จริงก็ไม่หน่อยหรอกนะ อาศัยว่าสบายหู สบายตา ทำงานโดยไม่มีสิ่งรบกวนได้ มันก็เลยมีสมาธิยาวหน่อย ไม่ต้องเสียความอดทนไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง)
มันก็เลยทำๆๆๆ ไปเรื่อย ก็เพลินดีล่ะนะ เดี๋ยวๆ ก็เลิกงานละ ทำงานเยอะๆ ก็ดีจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แต่ก็พอเข้าใจล่ะว่าถ้าบ้าเกินไป เดี๋ยวจะได้บ้าจริงๆ แน่

อ้ะ. ต่อ ดีกว่าเนอะ
ศุกร์ที่แล้วไปงานแต่งงาน 2 งานซ้อน ซ้อนจริงๆ นะ เพราะจัดที่เดียวกันแต่อยู่คนละชั้นเท่านั้นเอง งานนึงเป็นรุ่นพี่ของเจ้าหมูป่า ซึ่งเราก็รู้จักและเค้าก็ให้ซองมาด้วย ก็เลยไปตามคำขอ ส่วนอีกงานนึง อดีตรุ่นพี่ (ที่แสนดีเป็นช่วงๆ) คนสนิท เชอะ..ในที่สุดเค้าก็ชิงแต่งก่อนเราจนได้ แต่ก็ช่างเหอะ ถ้าคิดว่าดีแล้ว มีความสุขแล้วก็ทำไปเถอะ

งานนี้กะแวะไปดูหน้าเจ้าสาวน่ะ อยากรู้ว่าหญิงที่นายคนนี้เลือกจะเป็นไง ได้เจอแว๊บแรก เออว่ะ.. เค้าอ้วนขึ้นอย่างที่เจ้าตัวบอกจริงๆ
เมื่อก่อนจำได้ว่าหุ่นมันออกแนวทหารกว่านี้นี่หว่า ตอนนี้ดูกลายเป็น office man ไปเลย ส่วนเจ้าสาวก็ตุ้ยนุ้ยดี หน้าตาก็โอเค แต่ดูท่าเธอจะขึ้หึงอย่างที่สุด นี่ขนาดไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวนะ ทักกันแว่บนึงก็เห็นเลยว่าเธอคนนี้น่าจะหึงอย่างโหด

ส่วนเราเองจากที่เคยคิดว่าชีวิตน่าจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย เข้าแนวหลังชนฝาแหละ เอาไงก็เอา ใช้ contingency plan ดีกว่าในเมื่อคิดอะไรไว้มันไม่ค่อยจะ smooth เล้ยยย ยังไม่รู้อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง เพราะปัจจุบันก็ยังงงตัวเองอย่างไม่จบสิ้น

ลืมบอกไป ขอให้มีความสุขมากๆ กับชีวิตคู่นะคะ ทั้งเจ้าสาวชั้นสอง กับเจ้าบ่าวชั้นหนึ่ง