พรุ่งนี้จะครบ 1 สัปดาห์แล้วหลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้า และไม่ได้ยินเสียงคนที่เคยคิดว่าจะไปมีวันห่างกันไปไหนนานๆ บอกตรงๆ ว่าไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะมีเรื่องอย่างนี้มาทำให้เราสองคนต้องมีปัญหากัน แล้วก็ไม่คาดคิดว่าเราทั้งคู่จะเลือกวิธีในการรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้น
น่าจะเริ่มชินแล้วนะกับความรู้สึกล่องลอยอย่างนี้ แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ดี แม้ว่าวันนี้น้ำตาจะแห้งหายไปแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คิดเรื่องเดิมมันก็พร้อมที่จะไหลออกมาได้อีก เวลารักมันช่างง่ายดาย แต่ทำไมเวลาเจ็บปวดมันอยู่ทนได้ขนาดนี้นะ
ใจนึงก็อยากเคลียร์ให้รู้แล้วรู้รอด จะเอายังไงก็ว่ามา ถ้ายังจะรักกันก็ตกลงกันให้เป็นเรื่องเป็นราว ถ้าไม่คิดจะรักกันแล้วก็จะได้ตัดใจเสียที ไหนๆ ตอนนี้มันก้เจ็บปวดอยู่แล้วจะมีมากกว่านี้อีกก็คงไม่ถึงกับตายหรอกมั๊ง แต่คิดดีๆ แล้วคนที่น่าจะต้องเป็นฝ่ายเคลียร์มันไม่ควรจะเป็นเราไม่ใช่หรือ
ก็ลองดู วัดใจกันไป คนเราคู่กันแล้วไม่แคล้วกัน แต่ถ้ามันไม่ใช่ถ้าถึงเวลามันก็ต้องแยกกันไปอยู่ดี
วันเสาร์, มกราคม 30, 2553
วันอังคาร, มกราคม 26, 2553
"ศรัทธา" และ "ความเชื่อมั่น" สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่พังทลายได้เพียงชั่วข้ามคืน
แม้จะคิดว่า เขียนไปทำไม.. ให้ตัวเองเกิดความหวัง แล้วก็รอว่ามันคงจะสื่อไปให้เค้าเข้าใจได้
ก็รู้ว่าเป็นคนไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ นอกจากจะเป็นเรื่องวิชาการที่สนใจเท่านั้น นับวันเมลที่ส่งไปคุยก็ไม่ใส่ใจที่จะอ่านเท่าไหร่อยู่แล้ว ถึงถ้าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อน่ารำคาญชวนให้อึดอัดใจ อย่างมากที่สุดก็คงได้แค่ผ่านสายตาเท่านั้น ไอ้เรื่องจะหวังให้อ่านแล้วคิดไปด้วยลืมไปได้เลย
แต่ก็ยังอยากเขียน อย่างน้อยก็เป็นสิ่งย้ำเตือนใจตัวเองให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเพื่อระบายความรู้สึกที่เรามีอยู่ การให้ความสำคัญกับตัวอักษรก็เท่ากับว่าเราค่อยๆ มองย้อนกลับไปอีกครั้งอย่างช้าๆ เพื่อดูว่าเราได้ผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะถึงบทสรุป
การที่ได้หยุดอยู่นิ่งๆ อย่างนี้
ภายใต้ความรู้สึกทรมาณมันก็ทำให้เรามองเห็นอะไรๆ ในมุมที่ต่างไปจากเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นความรักของตัวเองที่มีต่อคนๆ หนึ่ง หรือโอกาสที่จะวิเคราะห์พฤติกรรมของคนที่เราเชื่อมั่นว่าเค้ารักเรา แล้วก็ได้รู้ว่ามีหลายอย่างที่เรามองข้ามมันไปทั้งที่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นพยายามบอกอะไรเรามาตลอดเพียงแต่เราไม่เคยที่จะหันไปมองมัน กว่าจะได้เข้าใจก็เมื่ออะไรๆ เปลี่ยนไปจนไม่รู้ว่าจะดำเนินไปในรูปแบบไหน
มีคนถามว่า เสียใจทำไม?
"เราให้เค้าได้มั๊ยในสิ่งที่เค้าต้องการ ถ้าให้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป ไว้ถ้าเราให้ได้แล้วเค้ายังทำอย่างนี้ค่อยมาว่ากัน"
...เค้าจะรู้ไหมนะ ว่าคำพูดนั้นมันยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เจ็บลึกลงไปได้อีก
อยากบอกเหลือเกินว่าที่เสียใจอยู่นี่ก็เพราะให้ไปแล้วไง แล้วก็เสียใจที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แต่ก็ไม่เสียดายหรอกนะ เพราะถือว่าให้คนที่เรารัก
นึกถึงคำต่างๆ ที่เคยพูด
คำว่า "รัก" พูดยากเหลือเกิน เวลาที่อยากได้ยินก็ไม่เคยพูด ยิ่งถามก็ยิ่งไม่ตอบแถมยังพาลโกรธที่ไปบังคับให้พูดซะอีก ราวกับคำนี้ต้องเอ่ยมาจากใจเท่านั้น รู้นะว่าอยากได้ยิน แต่ไม่อยากโกหก ทำให้เราต้องรู้สึกผิดอีกที่ไปรุกรานความรู้สึกส่วนตัว แต่ทำไม "ยังไงก็รักคนเดียว" ถึงเอามาพูดในวันที่เพิ่งจะยอมรับผิดคำพูดด้วยการ "นอกใจ" อย่างนี้ล่ะ อยากถามเหลือเกินว่า ทำไมถึงกล้าพูดว่ารัก ทั้งที่เพิ่งจะทำร้ายคนที่ตัวเองรัก
"อยากทำอะไรก็ทำ โตแล้วคิดเองได้ ถ้าคิดว่าตัวเองทำถูกก็ทำไป"
คำพูดนี้ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำอะไรที่เสี่ยงต่อความไว้วางใจที่ได้รับ เราให้เกียรติคนที่เรารักนะ ไม่อยากทำให้เค้าผิดหวังในตัวเรา แต่คำเหล่านี้กลับย้อนมาหาเราด้วยความรู้สึกที่มั่นใจนี่แหละ ว่าสิ่งที่กระทำต้องผ่านการคิดไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้วถึงผลที่ตามมาจากการตัดสินใจ การเลือกที่จะ "ทำ" ก็แสดงว่าคิดแล้วสินะว่าระหว่างความต้องการของตัวเองกับหัวใจของคนที่บอกว่ารัก
"คิดสิว่า ไม่ใช่ของกู"
บอกกลายๆ หรือเปล่าว่าในเมื่อไม่ใช่ของกู ก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ให้เท่ากับอะไรๆ ที่เป็นของกู ที่บอกว่าไม่หึงไม่หวงก็คงเพราะคิดอย่างนี้ล่ะมั๊ง ใครจะเอาไปก็เชิญ ส่วนอะไรที่เป็นของกูจะทำอย่างไรก็ได้ โดยไม่ต้องสนใจใครหน้าไหน
ถ้ามีโอกาสได้พูด..
อยากจะบอกเค้านะว่าไม่ได้โกรธที่ไปทำอย่างนั้น แม้แต่ที่โกหกก็ยังไม่ได้ทำให้ฉุนขาดอย่างที่น่าจะเป็น แต่มันผิดหวัง เหมือนกับ "ศรัทธา" และ "ความเชื่อมั่น" ที่เคยมีมันหายไป..
แล้วก็..
เสียใจ.. ที่ตัวเองไม่ดีพอจะทำให้ "คิดได้"
เสียใจ.. ที่สิ่งที่ทำไปทั้งหมดไม่มีค่าพอให้ควรรักษาเอาไว้
ก็รู้ว่าเป็นคนไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ นอกจากจะเป็นเรื่องวิชาการที่สนใจเท่านั้น นับวันเมลที่ส่งไปคุยก็ไม่ใส่ใจที่จะอ่านเท่าไหร่อยู่แล้ว ถึงถ้าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อน่ารำคาญชวนให้อึดอัดใจ อย่างมากที่สุดก็คงได้แค่ผ่านสายตาเท่านั้น ไอ้เรื่องจะหวังให้อ่านแล้วคิดไปด้วยลืมไปได้เลย
แต่ก็ยังอยากเขียน อย่างน้อยก็เป็นสิ่งย้ำเตือนใจตัวเองให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเพื่อระบายความรู้สึกที่เรามีอยู่ การให้ความสำคัญกับตัวอักษรก็เท่ากับว่าเราค่อยๆ มองย้อนกลับไปอีกครั้งอย่างช้าๆ เพื่อดูว่าเราได้ผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะถึงบทสรุป
การที่ได้หยุดอยู่นิ่งๆ อย่างนี้
ภายใต้ความรู้สึกทรมาณมันก็ทำให้เรามองเห็นอะไรๆ ในมุมที่ต่างไปจากเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นความรักของตัวเองที่มีต่อคนๆ หนึ่ง หรือโอกาสที่จะวิเคราะห์พฤติกรรมของคนที่เราเชื่อมั่นว่าเค้ารักเรา แล้วก็ได้รู้ว่ามีหลายอย่างที่เรามองข้ามมันไปทั้งที่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นพยายามบอกอะไรเรามาตลอดเพียงแต่เราไม่เคยที่จะหันไปมองมัน กว่าจะได้เข้าใจก็เมื่ออะไรๆ เปลี่ยนไปจนไม่รู้ว่าจะดำเนินไปในรูปแบบไหน
มีคนถามว่า เสียใจทำไม?
"เราให้เค้าได้มั๊ยในสิ่งที่เค้าต้องการ ถ้าให้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป ไว้ถ้าเราให้ได้แล้วเค้ายังทำอย่างนี้ค่อยมาว่ากัน"
...เค้าจะรู้ไหมนะ ว่าคำพูดนั้นมันยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เจ็บลึกลงไปได้อีก
อยากบอกเหลือเกินว่าที่เสียใจอยู่นี่ก็เพราะให้ไปแล้วไง แล้วก็เสียใจที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แต่ก็ไม่เสียดายหรอกนะ เพราะถือว่าให้คนที่เรารัก
นึกถึงคำต่างๆ ที่เคยพูด
คำว่า "รัก" พูดยากเหลือเกิน เวลาที่อยากได้ยินก็ไม่เคยพูด ยิ่งถามก็ยิ่งไม่ตอบแถมยังพาลโกรธที่ไปบังคับให้พูดซะอีก ราวกับคำนี้ต้องเอ่ยมาจากใจเท่านั้น รู้นะว่าอยากได้ยิน แต่ไม่อยากโกหก ทำให้เราต้องรู้สึกผิดอีกที่ไปรุกรานความรู้สึกส่วนตัว แต่ทำไม "ยังไงก็รักคนเดียว" ถึงเอามาพูดในวันที่เพิ่งจะยอมรับผิดคำพูดด้วยการ "นอกใจ" อย่างนี้ล่ะ อยากถามเหลือเกินว่า ทำไมถึงกล้าพูดว่ารัก ทั้งที่เพิ่งจะทำร้ายคนที่ตัวเองรัก
"อยากทำอะไรก็ทำ โตแล้วคิดเองได้ ถ้าคิดว่าตัวเองทำถูกก็ทำไป"
คำพูดนี้ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำอะไรที่เสี่ยงต่อความไว้วางใจที่ได้รับ เราให้เกียรติคนที่เรารักนะ ไม่อยากทำให้เค้าผิดหวังในตัวเรา แต่คำเหล่านี้กลับย้อนมาหาเราด้วยความรู้สึกที่มั่นใจนี่แหละ ว่าสิ่งที่กระทำต้องผ่านการคิดไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้วถึงผลที่ตามมาจากการตัดสินใจ การเลือกที่จะ "ทำ" ก็แสดงว่าคิดแล้วสินะว่าระหว่างความต้องการของตัวเองกับหัวใจของคนที่บอกว่ารัก
"คิดสิว่า ไม่ใช่ของกู"
บอกกลายๆ หรือเปล่าว่าในเมื่อไม่ใช่ของกู ก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ให้เท่ากับอะไรๆ ที่เป็นของกู ที่บอกว่าไม่หึงไม่หวงก็คงเพราะคิดอย่างนี้ล่ะมั๊ง ใครจะเอาไปก็เชิญ ส่วนอะไรที่เป็นของกูจะทำอย่างไรก็ได้ โดยไม่ต้องสนใจใครหน้าไหน
ถ้ามีโอกาสได้พูด..
อยากจะบอกเค้านะว่าไม่ได้โกรธที่ไปทำอย่างนั้น แม้แต่ที่โกหกก็ยังไม่ได้ทำให้ฉุนขาดอย่างที่น่าจะเป็น แต่มันผิดหวัง เหมือนกับ "ศรัทธา" และ "ความเชื่อมั่น" ที่เคยมีมันหายไป..
แล้วก็..
เสียใจ.. ที่ตัวเองไม่ดีพอจะทำให้ "คิดได้"
เสียใจ.. ที่สิ่งที่ทำไปทั้งหมดไม่มีค่าพอให้ควรรักษาเอาไว้
วันจันทร์, มกราคม 25, 2553
ทำอย่างไรดีนะ...
จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย...
มันอื้อๆ ชาๆ แล้วก็อยากอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไร รู้สึกเหมือนคนกำลังเคว้งคว้างเพราะสูญเสียอะไรสักอย่างที่ยึดถือมานาน
แล้วที่ผ่านมาเราเชื่อมั่นลมๆ แล้งๆ ไปคนเดียวใช่ไหม?
แม้ว่าลึกๆ ก็เหมือนจะรู้และยอมรับอยู่กลายๆ แล้วว่าผู้ชายทั่วไปคิดอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ สำหรับเพศผู้ทั้งหลาย การ "เที่ยวผู้หญิง" ไม่ใช่สิ่งผิดตราบเท่าที่ไม่ได้ผูกพันอะไร เหมือนหิวข้าวก็กินข้าวอิ่มแล้วก็จบกันเท่านั้นเอง เป็นเพียงการระบายความใคร่ไปพร้อมๆ กับการแสดงพลังของตัวเองเหนือเพศตรงข้าม
แต่จะมีผู้ชายคนไหนเคยคิดบ้างไหมว่าผู้หญิงจะรู้สึกอย่างไรที่ได้รู้ว่าคนที่ตัวเองรักไปแลกเปลี่ยนสสารกับผู้หญิงคนอื่น แม้จะไม่ได้มีเป็นตัวเป็นตน แต่แค่คิดว่าคนของเราเคยไปจับต้อง ไปทำอะไรต่อมิอะไรกับคนอื่นมันก็รู้สึกไม่ดีแล้ว
ทั้งที่รู้ว่าคนๆ นั้นผ่านผู้ชายอื่นมาไม่รู้เท่าไหร่ ก็ยังสามารถ "กระทำ" ซ้ำรอยกันไปได้ เอาตัวเองที่สะอาดบริสุทธิ์ไปกลั้วกับมลทิน แล้วยังคิดอีกว่าเป็นการผ่อนคลาย แก้เครียด ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเสีย
แต่กับผู้หญิงของตัวเองนั้นถ้าเป็นไปได้จะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยตกเป็นของใครมาก่อน จะต้องรักเดียวใจเดียวไม่นอกใจและไม่นอกกายกับคนอื่นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นผลที่ได้รับก็คือ "เลิกรา" เพราะเมียจะต้องเป็นของผัวได้เพียงคนเดียว มันช่างต่างกับน้องๆ ทั้งหลายที่ผู้ชายใช้ต่อๆ กันได้อย่างไม่รู้สึกรังเกียจ
ตัวเราเองก็เหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไปน่ะแหละที่คาดหวังว่าคนที่จะมาเป็นสามีก็ควรจะทำตัวให้คู่ควรกับการที่เราได้รักษาตัวเองมาเพื่อเค้า ลืมไปเสียสนิทว่า ตัวเองก็ทำตัวไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมสักเท่าไหร่ ที่ริอาจข้ามขั้นชิงสุกก่อนห่าม มัวแต่ลำพองใจว่าตัวเองโตแล้วรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป มองข้ามความจริงที่ว่า ทัศนคติของคนเรามันแสดงออกจากสิ่งที่เค้ากระทำนั่นแหละ ถ้าเค้าทำกับเราได้ เค้าก็ทำกับคนอื่นได้เช่นกัน ในเมื่อมันไม่ใช่สิ่งที่ผิดในสายตาเค้า ส่วนตัวเราในเมื่อเราก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ การที่เรายอมให้อะไรๆ มันเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องยอมรับสภาพและผลที่ตามมาสินะ
นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่รู้สึกโกรธเลยกับสิ่งที่ได้รู้ กลับขอบคุณที่เค้ากล้ายอมรับความจริง แต่รู้สึกหมดแรง หมดกำลังใจมากกว่า มันเหมือนรอยกรีดที่บาดลึกลงในใจ เลือดค่อยๆ ซึมไหลออกมาให้รู้สึกเจ็บปวดตลอดเวลา สิ่งที่น่าเสียใจมากที่สุดคือ "ความเชื่อใจ" ที่เราพยายามบอกตัวเองให้ยอมรับมาเป็นสิบปีและยึดถือไว้มาตลอดสามปีกว่าๆ ที่รับรู้และให้อภัยในสิ่งที่เค้าสารภาพ และเชื่อมั่นคำพูดของเค้าว่าจะไม่มีอย่างนั้นอีก
ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา 13 ปี แม้จะไม่เคยที่จะเอ่ยออกมา แต่ไม่มีสักครั้งที่ผู้ชายคนนี้จะทำให้เราผิดหวัง ผู้ชายแสนดีที่ทำให้เรา "เชื่อมั่น" อย่าง "สนิทใจ" ว่าเค้าจะไม่มีวันทำให้เราเสียใจ เราศรัทธาในตัวผู้ชายคนนี้ที่เคยร้องไห้ต่อหน้าผู้หญิงเพราะความรู้สึกที่มีต่อแม่ เรานับถือจิตใจของเค้าที่แสนจะดีงามและละเอียดอ่อน เค้าคือคนที่เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผู้ชายของเรา ทำให้ได้รู้เพียงแค่เปิดใจเราก็จะเห็นว่ายังมีผู้ชายดีๆ อยู่ในโลกนี้ และความรักของคนต่างเพศเป็นเรื่องจริง จนในที่สุดเราก็กล้าที่จะมีความรัก
ถึงแม้ใครๆ จะบอกว่ามันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย
แต่สำหรับเรามันคือ "ความเชื่อใจ" ที่ถูกทำลายไป
มันเจ็บปวดนะเวลาที่ได้รู้ว่าสิ่งที่เราเชื่อมาตลอดมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง
หลังจากนั่งเสียใจมาเกือบทั้งวันทั้งคืน เราก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเราถึงไม่โกรธและไม่เกลียดเค้า
เพราะเราคิดว่าคนที่ไม่ดีพอคือตัวเราเอง..
การที่เค้าบอกว่าเบื่อๆ เซ็งๆ เลยออกไปเที่ยว เราคงแย่มากที่ไม่สามารถจะช่วยอะไรเค้าได้เลยสินะ
เพราะเราไม่สวย ไม่เซ็กซี่ ไม่ออดอ้อนออเซาะ เอาอกเอาใจไม่เป็น หรือเพราะไม่เก่งเรื่องอย่างว่า ไม่เร้าใจมากพอสำหรับเค้า
เข้าใจนะ.. สุดท้ายผู้ชายก็ชอบผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิง คนที่สวยน่ารักมากกว่า ผู้หญิงบ้านๆ ดูเป็นทอมก็ไม่ใช่ ผู้หญิงก็ไม่เชิงอย่างเรา ไม่มีลักษณะที่น่ารักน่าทะนุถนอมเอาเสียเลย นานวันเข้าความอ่อนไหว ความสดใสไร้เดียงสาก็ยิ่งหายไป แล้วมันจะเหลืออะไรให้น่าค้นหาอีกล่ะ..
ยิ่งคิดยิ่งละอายใจกับสิ่งที่ทำลงไปเมื่อวาน
นอกจากแสดงออกอะไรทุเรศๆ ไปแล้ว ยังได้รู้อีกว่าเราไม่สามารถจะ "สร้าง" ความรู้สึกอะไรได้เลยจริงๆ
จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย...
มันอื้อๆ ชาๆ แล้วก็อยากอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไร รู้สึกเหมือนคนกำลังเคว้งคว้างเพราะสูญเสียอะไรสักอย่างที่ยึดถือมานาน
แล้วที่ผ่านมาเราเชื่อมั่นลมๆ แล้งๆ ไปคนเดียวใช่ไหม?
แม้ว่าลึกๆ ก็เหมือนจะรู้และยอมรับอยู่กลายๆ แล้วว่าผู้ชายทั่วไปคิดอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ สำหรับเพศผู้ทั้งหลาย การ "เที่ยวผู้หญิง" ไม่ใช่สิ่งผิดตราบเท่าที่ไม่ได้ผูกพันอะไร เหมือนหิวข้าวก็กินข้าวอิ่มแล้วก็จบกันเท่านั้นเอง เป็นเพียงการระบายความใคร่ไปพร้อมๆ กับการแสดงพลังของตัวเองเหนือเพศตรงข้าม
แต่จะมีผู้ชายคนไหนเคยคิดบ้างไหมว่าผู้หญิงจะรู้สึกอย่างไรที่ได้รู้ว่าคนที่ตัวเองรักไปแลกเปลี่ยนสสารกับผู้หญิงคนอื่น แม้จะไม่ได้มีเป็นตัวเป็นตน แต่แค่คิดว่าคนของเราเคยไปจับต้อง ไปทำอะไรต่อมิอะไรกับคนอื่นมันก็รู้สึกไม่ดีแล้ว
ทั้งที่รู้ว่าคนๆ นั้นผ่านผู้ชายอื่นมาไม่รู้เท่าไหร่ ก็ยังสามารถ "กระทำ" ซ้ำรอยกันไปได้ เอาตัวเองที่สะอาดบริสุทธิ์ไปกลั้วกับมลทิน แล้วยังคิดอีกว่าเป็นการผ่อนคลาย แก้เครียด ไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายเสีย
แต่กับผู้หญิงของตัวเองนั้นถ้าเป็นไปได้จะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยตกเป็นของใครมาก่อน จะต้องรักเดียวใจเดียวไม่นอกใจและไม่นอกกายกับคนอื่นเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นผลที่ได้รับก็คือ "เลิกรา" เพราะเมียจะต้องเป็นของผัวได้เพียงคนเดียว มันช่างต่างกับน้องๆ ทั้งหลายที่ผู้ชายใช้ต่อๆ กันได้อย่างไม่รู้สึกรังเกียจ
ตัวเราเองก็เหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไปน่ะแหละที่คาดหวังว่าคนที่จะมาเป็นสามีก็ควรจะทำตัวให้คู่ควรกับการที่เราได้รักษาตัวเองมาเพื่อเค้า ลืมไปเสียสนิทว่า ตัวเองก็ทำตัวไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมสักเท่าไหร่ ที่ริอาจข้ามขั้นชิงสุกก่อนห่าม มัวแต่ลำพองใจว่าตัวเองโตแล้วรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป มองข้ามความจริงที่ว่า ทัศนคติของคนเรามันแสดงออกจากสิ่งที่เค้ากระทำนั่นแหละ ถ้าเค้าทำกับเราได้ เค้าก็ทำกับคนอื่นได้เช่นกัน ในเมื่อมันไม่ใช่สิ่งที่ผิดในสายตาเค้า ส่วนตัวเราในเมื่อเราก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ การที่เรายอมให้อะไรๆ มันเกิดขึ้นมาแล้วเราก็ต้องยอมรับสภาพและผลที่ตามมาสินะ
นึกแปลกใจตัวเองที่ไม่รู้สึกโกรธเลยกับสิ่งที่ได้รู้ กลับขอบคุณที่เค้ากล้ายอมรับความจริง แต่รู้สึกหมดแรง หมดกำลังใจมากกว่า มันเหมือนรอยกรีดที่บาดลึกลงในใจ เลือดค่อยๆ ซึมไหลออกมาให้รู้สึกเจ็บปวดตลอดเวลา สิ่งที่น่าเสียใจมากที่สุดคือ "ความเชื่อใจ" ที่เราพยายามบอกตัวเองให้ยอมรับมาเป็นสิบปีและยึดถือไว้มาตลอดสามปีกว่าๆ ที่รับรู้และให้อภัยในสิ่งที่เค้าสารภาพ และเชื่อมั่นคำพูดของเค้าว่าจะไม่มีอย่างนั้นอีก
ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา 13 ปี แม้จะไม่เคยที่จะเอ่ยออกมา แต่ไม่มีสักครั้งที่ผู้ชายคนนี้จะทำให้เราผิดหวัง ผู้ชายแสนดีที่ทำให้เรา "เชื่อมั่น" อย่าง "สนิทใจ" ว่าเค้าจะไม่มีวันทำให้เราเสียใจ เราศรัทธาในตัวผู้ชายคนนี้ที่เคยร้องไห้ต่อหน้าผู้หญิงเพราะความรู้สึกที่มีต่อแม่ เรานับถือจิตใจของเค้าที่แสนจะดีงามและละเอียดอ่อน เค้าคือคนที่เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผู้ชายของเรา ทำให้ได้รู้เพียงแค่เปิดใจเราก็จะเห็นว่ายังมีผู้ชายดีๆ อยู่ในโลกนี้ และความรักของคนต่างเพศเป็นเรื่องจริง จนในที่สุดเราก็กล้าที่จะมีความรัก
ถึงแม้ใครๆ จะบอกว่ามันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย
แต่สำหรับเรามันคือ "ความเชื่อใจ" ที่ถูกทำลายไป
มันเจ็บปวดนะเวลาที่ได้รู้ว่าสิ่งที่เราเชื่อมาตลอดมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง
หลังจากนั่งเสียใจมาเกือบทั้งวันทั้งคืน เราก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเราถึงไม่โกรธและไม่เกลียดเค้า
เพราะเราคิดว่าคนที่ไม่ดีพอคือตัวเราเอง..
การที่เค้าบอกว่าเบื่อๆ เซ็งๆ เลยออกไปเที่ยว เราคงแย่มากที่ไม่สามารถจะช่วยอะไรเค้าได้เลยสินะ
เพราะเราไม่สวย ไม่เซ็กซี่ ไม่ออดอ้อนออเซาะ เอาอกเอาใจไม่เป็น หรือเพราะไม่เก่งเรื่องอย่างว่า ไม่เร้าใจมากพอสำหรับเค้า
เข้าใจนะ.. สุดท้ายผู้ชายก็ชอบผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิง คนที่สวยน่ารักมากกว่า ผู้หญิงบ้านๆ ดูเป็นทอมก็ไม่ใช่ ผู้หญิงก็ไม่เชิงอย่างเรา ไม่มีลักษณะที่น่ารักน่าทะนุถนอมเอาเสียเลย นานวันเข้าความอ่อนไหว ความสดใสไร้เดียงสาก็ยิ่งหายไป แล้วมันจะเหลืออะไรให้น่าค้นหาอีกล่ะ..
ยิ่งคิดยิ่งละอายใจกับสิ่งที่ทำลงไปเมื่อวาน
นอกจากแสดงออกอะไรทุเรศๆ ไปแล้ว ยังได้รู้อีกว่าเราไม่สามารถจะ "สร้าง" ความรู้สึกอะไรได้เลยจริงๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)