หายไปเป็นเดือนๆ เลยสินะเรา
ไม่ใช่ว่าลืม หรือ ขี้เกียจจะมาอัปนะ พอดีว่าช่วงนี้มันป่วยบ่อยมากๆๆ จนแทบจะ control ชีวิตตัวเองไม่ได้ วันๆ ได้แต่นั่งคิดว่าวันไหนจะป่วย วันไหนจะโดนหิ้วไปโรงพยาบาล ชีวิตทุกวันนี้เลยเหมือนต้องลุ้นอยู่ทุกวัน ก็เพราะมันไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรน่ะสิ!
เริ่มต้นตั้งแต่ต้นปีปลายเดือน "มกรา " ไปเตะบอลจนขาเดี้ยง เอ็นข้อเท้าฉีก ได้ใส่เฝือกกระดึ้บๆๆ อยู่ 1 สัปดาห์ แล้วกระย่องกระแย่งอีกเป็นเดือนกว่าจะดีขึ้น ทรมาณจริงจริ๊ง
กลางปี "กรกฎา-สิงหา" อยู่ๆ ก็ตาเจ็บ นอนๆ อยู่แสบตาจนต้องตื่นขึ้นมาตอนตี 2-3 หมอบอกว่า เยื่อบุตาขาวอักเสบ เป็นหมาตาแฉะเพราะเชื้อแบคทีเรีย กะไวรัสอีกพักใหญ่สลับกับ sense ยาหยอดตาที่เดี๋ยวแสบเดี๋ยวไม่แสบอีก เปลี่ยนยาไม่รู้กี่รอบงานนี้เกือบ 4 เดือนกว่าจะหาย แล้วก็ยังหวั่นใจว่ามันจะเป็นอีกไหม ทุกเช้ามองหน้าตัวเองในกระจก เห็นตาขาวแดงนิดๆ ก็อดหวั่นใจไม่ได้ทุกที
"สิงหา-กันยา" อยู่ๆ ก็พะอืดพะอมอ้วกตอนกลางดึก แล้วหลังจากนั้นก็อ้วกมาตลอด ไปหาหมอคนแรกบอกว่า โรคกระเพาะ อีกคนบอกว่า ลำไส้อักเสบ ตกลงเลยไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ ยิ่งต้องกินยาแก้อักเสบเพื่อรักษาโรคตาด้วยแล้ว กินยาเสร็จ เหม็นยาในท้องไม่เกิน 10 นาทีอ้วก แล้วก็เหงื่อท่วมเดินไม่ไหวเหนื่อยอีก ไม่กินก็ไม่ได้เพราะตาไม่หายอีก ในที่สุดเก็บอ้วกไปตรวจได้ความว่า กระเพาะเป็นกรดมากเกินไป ยาแก้อับเสบมันเลยออกฤทธิ์ดีเกิน ต้องกินยาลดการหลั่งของกรดไปอีก 2 เดือน
กลาง "ตุลา" ได้โรคใหม่มาอย่างไม่รู้ตัว อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหม็นๆ เหมือนที่เคยเป็นเวลากินยาแก้อักเสบ แต่าคราวนี้กลับมาเป็นกับยาแก้กรดแทน เล่นเอางงไปเลยว่าตกลงเป็นเพราะยาเสีย หรือ เราผิดปกติเอง เริ่มจากกินยา -> เหม็นยา -> อ้วก กลายเป็นอยู่ดีๆ ก็พะอืดพะอม เวียนหัว เหงื่อท่วม ความดันตก ไม่รู้สึกตัว อ้วกๆๆ จนต้องหามไปโรงพยาบาลสองรอบ หมอคนนึงบอกว่า น้ำในหูไม่เท่ากัน อีกคนบอก ไม่รู้ ต้องรักษาตามอาการ จนวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แต่ว่าตัวช้ำไปหมดเพราะโดนแทงน้ำเกลือ เจาะเลือด หลายรอบมากๆ แล้วก็ได้ยินว่าตอนไม่รู้สึกตัวนี่ถึงกับชักเลย น่ากลัวชะมัด
ล่าสุดปลาย "ตุลา" หลังจากอาการเวียนหัวดีขึ้น เริ่มสำรวจตัวเองก็เลยเจอว่าเจ็บแขนขวา เหมือนมันช้ำๆ จับแล้วเจ็บๆ เป็นอาทิตย์ก็ยังไม่หาย พอไปหาหมอเค้าบอกว่าน่าจะเอ็นข้อมือฉีกขาดเล็กน้อยร่วมกับหมอนรองข้อกระดูกอักเสบ เลยให้ใส่ wrist support ไป 1 เดือน ถ้าไม่ดีขึ้นต้อง x-ray แล้วรักษาต่อไป ตอนนี้เลยกลายเป็น RoboCat ดามแขนไปข้างนึงรำคาญดีทีเดียวโดยเฉพาะตอนนั่งพิมพ์คอมอย่างนี้แหละ
นี่แหละเรื่องราวความเจ็บป่วยในรอบปีนี้ หวังว่าที่เหลืออยู่อีก 2 เดือนก่อนสิ้นปีคงไม่ป่วยเป็นอะไรอีกแล้วนะเรา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐที่สุดแล้วแหละ
ไว้คราวหน้าจะมาเล่าเรื่องความเสียหายทางด้านทรัพย์สินให้ฟังนะ
วันพุธ, ตุลาคม 31, 2550
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
3 ความคิดเห็น:
ขออัปเดตหน่อยเหอะ
ถึงแม้ที่ผ่านมาจะอ่านแล้วรู้สึกว่าชีวิตรันทดมากแล้วก็เถอะนะ แต่มันยังไม่จบครับท่าน เลยมาระบายเรื่องล่าสุดให้ฟังกัน
ต้อนรับต้นเดือน พฤศจิกา ด้วยแผลปวดแสบปวดร้อนที่รอบตาขวา ตามมาด้วยรอยคล้ำเป็นปื้อน อาการคล้ายกับที่ผ่านๆ มา คือแสบร้อน แล้วก็รู้สึกเหมือนผิวมันจะไหม้ๆ แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง คือ ดีที่มันไม่เข้าตา คือตอนที่รู้สึกว่าโดนอีกแล้ว เรารีบหลับตาปี๋มันก็เลยไม่ทันเข้าตา นอกจากนั้นก็ทำให้เราได้รู้ว่า อาการที่เคยเป็นมาไม่ใช่ผีหลอกแต่อย่างใด เพราะต้นเหตุมันคือ "แมลงก้นกระดก" หรือ แมลงยอดฮิตช่วงรับน้องที่เค้าเรียกกันว่า "แมลงเฟรชชี่" หรือภาษาบ้านๆ มันคือ "แมลงตด"
จากคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ เจ้าตัวแสบนี้มันตัวสีดำๆ ยาวเกือบๆ 1 ซ.ม.และบินได้ ฤทธิ์ของมันจะทำให้เกิดแผลพุพองคล้ายน้ำร้อนลวก ชนิด 'โคตรเจ็บ'
นึกไปนึกมาก็ถึงบางอ้อ กับอาการที่ผ่านๆ มา ก็คาดว่าจะเกิดจากไอ้ตัวนี้น่ะแหละ ตอนที่ตาข้างขวาอักเสบครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนน้ำอะไรสักอย่างเข้าตา พอลืมตาขึ้นมาก็ปวด แสบ ร้อนมากๆ รักษาอยู่ 1 สัปดาห์ก็ดีขึ้น แต่ไม่นานนักก็มีครั้งที่สอง คราวนี้มาเป็นตาซ้าย ซึ่งโดนค่อนข้างหนัก เพราะกระจกตาถึงกับถลอก และเยื่อบุตาก็อักเสบมาก แถมยังมีการแพ้ยาอีก ศึกครั้งนี้อยู่ราวเกือบสองเดือน ต่อมาครั้งที่สามโดนที่ต้นคอซึ่งแผลลึกและใหญ่มากจนตอนนี้ก็ยังไม่หายดี ครั้งที่สี่บนหัวเลยครับท่าน ลากเป็นรอยยาวเกือบคืบนี่ก็ยังไม่หายดี ครั้งที่ห้าจุดหนึ่งหัวอีกเช่นกันโดนเป็นจุดสูงกว่าขมับขวาไปหน่อย และห้าจุดสองข้างตาขวาซึ่งยังคงเป็นรอยแผลให้ชาวบ้านได้ถามไถ่กันอยู่ และยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไปง่ายๆ (หวังว่าคงไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้นะ)
อ้ะ ต่อๆ ยังไม่จบ
ตอนต่อจากเมื่อวาน เอ้ย! เมื่อกี้ หลังจากที่เจ็บตัวจากแมลงตัวแสบแล้ว ยังมีอะไรตื่นเต้นกว่านั้น!
คือ เรื่องมันมีอยู่ว่า..
เช้าวันจันทร์ธรรมดาวันหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรแปลกไป คือ ประมาณว่าพูดแล้วมันรัวๆ ที่จริงปกติเป็นคนพูดเร็วอยู่แล้ว แต่คราวนี้มันแปลกๆ คือเหมือนมันจะควบคุมลิ้นไม่อยู่สักเท่าไหร่ แต่ก็ยังออกมาทำงานตามปกติ เพราะอย่างที่รู้ คือ ลางานเยอะมากๆ เริ่มมองเห็นโบนัสที่จะโดนหักมันมากขึ้นๆ (จนน่ากลัว)
ปล1. เหตุการณ์ต่อไปนี้จำไม่ค่อยได้ละ เอาเท่าที่นึกออก หรือ พอเข้าใจได้ละกัน
มาถึงที่ทำงานก็เหมือนกับทุกๆ วัน คือเปิดเครื่อง เปิดเว็บประจำ แล้วก็นั่งอ่านๆๆ ไป มันก็ง่วงๆ เบลอๆ เริ่มรู้สึกว่าอ่านประโยคไม่ค่อยจบเท่าไหร่ คือ อ่านมันวนไปวนมาอยู่นั่นแหละ จับใจความไม่ได้สักที สมาธิมันหลุดๆ ชอบกล ยิ่งตอนสายๆ นะ ช่วงเก้าโมงกว่าๆ ถึงเกือบสิบเอ็ดโมงนี่หนักเลย จะหลับซะให้ได้ กาแฟ 1 ซองไม่สามารถต้านทานไว้ได้ แต่จะกินมากกว่านี้ก็ไม่ดีอีก เดี๋ยวกระเพาะมันประท้วงขึ้นมาอีกจะยุ่ง เมื่อขาด 'คาเฟอีน' มันก็โงกเงก..โงกเงก.. ตาก็จะปิดซะให้ได้
ไอ้เรื่องง่วงๆ เนี่ยก็พอจะมีเหตุผลอ้างกับตัวเองได้ อย่างที่รู้ๆ กันแหละว่า (เกือบ)ทุกวันจันทร์ (เว้นวันจันทร์ที่เป็นวันหยุด) เป็นวันที่น่าเบื่อที่สุด ลองคิดดูสิ..
..เช้าของวันทำงานที่เพิ่งพ้นจากวันหยุดอันแสนน้อยนิด
..เช้าวันทำงานวันแรกของสัปดาห์
..เช้าวันทำงานที่ตลอดสัปดาห์ไม่มีวันหยุดพิเศษ
เศร้ามั๊ย??
แล้วยังถูกย้ำซ้ำๆ ด้วยเสื้อเหลืองสัญลักษณ์แห่งวันจันทร์ โอ้..มาย..ก้อด.. มันจะซ้ำเติมกันไปถึงไหนฟะ
เอ้า! นอกเรื่องอีกละชั้น ต่อละกัน
สรุปว่าวันจันทร์นั้นรอดกลับบ้านได้ตามปกติ วันอังคารต่อมานอกจากที่จะง่วงหงาวหาวนอนกว่าปกติ เริ่มพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ยังอยู่ในเขตที่พอรับได้แล้วก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติมากนัก
ทีนี้วันพุธไคลแม็กซ์ของเรื่อง มาทำงานด้วยสภาพง่วงอย่างสุดๆ เพียงแค่แปดโมงกว่าๆ ก็เริ่มง่วงๆ เบลอๆ จนคิดว่าท่าไม่ดีละ เดี๋ยววันนี้กลับครึ่งวันดีกว่า แต่ก็ต้องเคลียร์งานด่วนๆ เช้านี้ไปซะก่อนแล้วจะเผ่น แต่ไม่ทันครับผม ตกสายๆ เริ่มแย่แล้วคำพูดเริ่มบังคับไม่ได้ ลิ้นรัวซะจนพูดไม่เป็นคำ ฟังคนอื่นน่ะรู้เรื่องหรอกนะ แต่ตอบไม่ได้มันพาจะพูดออกนอกเรื่องไปซะงั้น หนักกว่านั้นคือรู้สึกเหมือนมีอะไรไต่ตามตัว เริ่มหวาดระแวง (หลอนแมลงก้นกระดกน่ะสิ กลัวมันติดอยู่ที่เสื้อผ้า ไม่อยากจะเจ็บตัวอีกแล้ว)
พอรู้ตัวว่าเริ่มแย่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เพื่อนร่วมงานเห็นว่ามันแปลกเกินทนแล้ว ก็เลยบอกให้ไปห้องพยาบาลแล้วให้เพื่อนไปส่ง เราก็บอกว่าไปเองได้ แต่เดินไปได้แค่ 3 ก้าว วืด..ด.. เป๋เป็นปูเดิน เหมือนคนเมาที่ทรงตัวไม่ได้ แต่ก็ยังเดินไปห้องพยาบาลได้โดยมีเพื่อนเดินอยู่ใกล้ๆ จับแขนไปตลอดทาง ตอนนั้นก็พอพูดได้แต่ต้องตั้งสติให้มากๆ แล้วพูดเป็นประโยคสั้นๆ เท่านั้น
ถึงห้องพยาบาลจำได้อยู่สองประโยค คือ 'เป็นอะไรมา' กับ 'ไปนอนที่เตียงก่อน'หลังจากนั้นก็เลือนลางและบางช่วงก็จำอะไรไม่ได้เลย
ปล2. เหตุการณ์ต่อไปนี้จำได้น้อยมากๆ ส่วนมากจึงมาจากคำบอกเล่าล้วนๆ
จำได้ว่ามีคนมาปลุกให้ลุกขึ้นพยายามจะพาเดินไปที่ประตู แว่บนึงที่มองผ่านกระจกเหมือนจะเห็นรถตัวเองจอดอยู่ข้างนอก จากนั้นก็มีเสียงบอกให้หลับตาแล้วเดินไป ในที่สุดโดนกึ่งลากกึ่งจูงไปนอนที่เบาะซ้ายในรถ (เพิ่งจะรู้นี่แหละว่าถ้าทรงตัวไม่ได้ให้หลับตา เหมือนกับร่างกายมันปิดการสื่อสารทางหนึ่งไปแล้วมันจะปรับตัวให้ใช้ประสาทสัมผัสอีกทางหนึ่งมากขึ้น)ระหว่างทางจนถึงบ้านจำอะไรไม่ได้เลย ที่จำได้ลางๆ ก็คือ มีเสียงบอกว่าถึงบ้านแล้วลงไหวไหม จากนั้นก็เดินขึ้นห้องไปเอง นึกออกอีกทีก็วันรุ่งขึ้นตอนเช้า ได้ยินเสียงโทรไปลางานพร้อมบอก progess ของเราด้วย
ระหว่างทางจากตึก service กลับบ้าน เหมือนจะเป็นระยะทางสั้นๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นสิ มันน่าแปลกที่เราจำไม่ได้แม้แต่น้อย..
เอาแค่นี้ก่อนละกัน ไว้จะมาต่อเรื่องที่ขาดหายไป..
กลับมาเล่าเรื่อง "สิ่งที่ขาดหายไป" ค่ะ
ใครจะไปรู้ล่ะว่าเหมือนเวลาเพียงเล็กน้อยระหว่างทางกลับบ้านนั้น มันไม่ได้น้อยอย่างที่คิดเลย
จากคำบอกเล่าของผู้ประสบเหตุ เล่าว่า วันนั้นเค้าพาเราไปโรงพยาบาล ระหว่างทางไปเรานอนหลับตาไปตลอดทาง แต่ก็สามารถตอบคำถามที่เค้าถามเราได้ตลอด แต่คนฟังจะเข้าใจได้หรือไม่นั้น ก็คงต้องเดาๆ เอาเอง เพราะเสียงเราตอนนั้นพูดเร็วและรัวมาก วันสองวันก่อนทหน้าที่จะเดี้ยงขนาดนี้ เราก็พอจะรู้ตัวอยู่ว่านอกจากจะพูดไม่ตรงเรื่องที่คิดแล้ว เสียงที่เปล่งออกไปมันฟังยากขนาดไหนมันก็พอนึกออกหรอก
ไปถึงโรงพยาบาลเค้าก็พาไปหาหมอ ซึ่งหมอก็สั่ง CT พร้อมฉีดสีอะไรสักอย่างนี่แหละเพื่อดูการทำงานของระบบประสาทและสมอง จากนั้นก็พากลับมาบ้าน โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย อาจจะฟังดูเหมือนเรื่องโกหก แต่เรื่องอย่างนี้มันคงไม่มีใครจะโกหกหรอกมั๊ง
กลับมาถึงบ้านก็ยังเบลอๆ โง่ๆ อีกพักใหญ่ก่อนจะรู้ตัวมากกว่าเดิมในวันรุ่งขึ้น และพอวันศุกร์อาการก็เกือบจะปกติจนเกือบจะหายแล้ว
ซึ่งเรื่องนี้มาคิดๆ ทีหลังถึงได้รู้ว่าที่จริงมันยังไม่หายหรอกตอนนั้นน่ะ เพราะเวลาจะเดินลงมาจากชั้นสองยังต้องค่อยๆ ลงทีละขั้นเลย มันวืดๆ แปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนกับพร้อมจะกลิ้งลงมาได้ทุกเมื่อ
ที่รู้น่ะก็เพราะเมื่อวานตอนที่มองขั้นบันไดจะเดินลงมาข้างล่าง มันไม่รู้สึกหวิวๆ หรือกลัวอย่างที่วันนั้นรู้สึก
สำหรับตอนนี้คิดว่านอกจากเรื่องของจิตใจที่ยังคิดไม่ออกแล้ว ทุกอย่างน่าจะกลับสู่ภาวะปกติแล้วล่ะนะ ก็ได้แต่หวังว่าขอให้เรื่องร้ายๆ ผ่านไป และปีหน้าคงจะเป็นปีที่ดีกว่าปีนี้นะ
แสดงความคิดเห็น