วันศุกร์, กรกฎาคม 24, 2563
Time flyyyy
เวลาผ่านไปเหมือนมีปีก เมื่อก่อนได้ยินแล้วก็ อืม.. เหรอ ก็แค่วลีนึงที่ฟังดูเหมือนจะจริงแต่ก็ยังไม่เคยจะอินกับมันสักที
รู้สึกตัวอีกที นี่เวลาผ่านไปกี่ผีแล้วนับจากการเขียนบล็อกครั้งสุดท้าย 🤔
อายุเข้าสู่วัยหลักสี่มาได้ปีเศษๆ (ใช่จ้ะ ผ่านร้อนหนาวมา 41ปีแล้ว) มันเป็นเวลาที่ยาวนานทีเดียว แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนว่ามันไม่นานเลย
10 ปีผ่านมาก็ได้พบได้เจออะไรๆมาเยอะนะ สุขสมหวัง ผิดพลาดเสียใจ และการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ชีวิตมีอะไรให้เรียนรู้อยู่ทุกวัน
ความรักที่เคยคิดว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย มันก็กลายเป็นบทเรียนอย่างนึงที่เข้ามาแล้วก็ผ่านไปเป็นความทรงจำ ชีวิตครอบครัวที่คิดไม่ออกว่าจะออกมาหน้าตายังไง ก็ได้เข้าใจในวันนี้ว่าที่มันไม่เคยมีภาพในหัว เพราะเราก็ไม่ได้ตั้งความหวังว่ามันจะต้องมีจริง
การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ที่เคยเป็นความกลัวในจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ในวันที่มันเกิดขึ้นจริงๆ เรากลับรับมือได้เหมือนมันเป็นสิ่งที่เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว เสียใจนะ ใจหาย แต่ก็แทบไม่มีน้ำตาออกมา ไม่ใช่ว่าไม่รักไม่ผูกพันแต่ก็เหมือนหลอกตัวเองว่าพ่อยังอยู่ต่างจังหวัดเหมือนที่เคยเป็น
มันมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะที่เกิดขึ้น บางอย่างยังคงอยู่ บางอย่างหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไว้จะค่อยๆกลับมาเล่าให้ฟังนะ เมื่อสามารถเรียบเรียงมันเป็นคำพูดได้ ^^
สวัสดี จนกว่าจะเจอกันอีกครั้ง
วันพุธ, สิงหาคม 31, 2554
ภาษาไทยวันละคำ
"ยโศโฆษาฆาต"
คำแปลกๆ ที่เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก มันช่างเป็นคำที่แสนจะยากจริงๆ ยากทั้งการสะกดและการพิมพ์
กว่าจะพิมพ์ได้ถูกต้องก็ต้องกด Backspace กลับไม่รู้กี่รอบ เพราะตัวอักษรแต่ละตัวล้วนแต่เป็นตัวอักษรที่ปกติไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ (ไม่เชื่อลองจำ แล้วพิมพ์ดูสิ ถ้าพิมพ์รอบเดียวถูกหมดจะนับถือเลย แต่มีข้อแม้ว่าต้องพิมพ์ด้วยความเร็วปกติที่ใช้ในการพิมพ์ทั่วไปนะ ถ้าจิ้มดีดแต่ละตัวอันนี้ไม่นับ!!)
"ยโศโฆษาฆาต" หรือ ฆ่าเพื่อรักษาเกียรติยศของครอบครัว (Honour Killing)
เป็นข่าวขึ้นมาในหน้าหนังสือพิมพ์เนื่องจากพ่อคนนึงฆ่าลูกสาว 3 คน หลังจากที่ทราบว่าลูกสาวถูกสมุนของกัตดาพี่ข่มขืน
อะไรมันจะขนาดน้านน..น นะมนุษย์เรา..
การถูกหมิ่นเกียรติ เสื่อมเสียชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล (และของตัวเอง) มันมีค่ามากกว่าชีวิตลูกสาว 3 คนที่ตัวเองเป็นคนให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาจนโตอย่างนั้นหรือ แทนที่จะสงสารเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองที่ต้องเจ็บตัว เจ็บใจกับสิ่งเลวๆ เหล่านั้น กลับเชือดคอฆ่าทิ้งได้ลงคอ
"ศักดิ์ศรี" มันมีค่ามากกว่า "ชีวิต" อย่างนั้นเหรอ
มนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งมวลก็ตรงที่มีความคิดผิดชอบชั่วดี มีศีลธรรม แต่นี่ขนาดสัตว์มันยังไม่ฆ่าลูกตัวเองแล้วไฉนสัตว์ประเสริฐที่มีสมองใหญ่โตกลับทำอะไรแบบนี้ได้นะ เสื่อมจริงๆ
คำแปลกๆ ที่เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก มันช่างเป็นคำที่แสนจะยากจริงๆ ยากทั้งการสะกดและการพิมพ์
กว่าจะพิมพ์ได้ถูกต้องก็ต้องกด Backspace กลับไม่รู้กี่รอบ เพราะตัวอักษรแต่ละตัวล้วนแต่เป็นตัวอักษรที่ปกติไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ (ไม่เชื่อลองจำ แล้วพิมพ์ดูสิ ถ้าพิมพ์รอบเดียวถูกหมดจะนับถือเลย แต่มีข้อแม้ว่าต้องพิมพ์ด้วยความเร็วปกติที่ใช้ในการพิมพ์ทั่วไปนะ ถ้าจิ้มดีดแต่ละตัวอันนี้ไม่นับ!!)
"ยโศโฆษาฆาต" หรือ ฆ่าเพื่อรักษาเกียรติยศของครอบครัว (Honour Killing)
เป็นข่าวขึ้นมาในหน้าหนังสือพิมพ์เนื่องจากพ่อคนนึงฆ่าลูกสาว 3 คน หลังจากที่ทราบว่าลูกสาวถูกสมุนของกัตดาพี่ข่มขืน
อะไรมันจะขนาดน้านน..น นะมนุษย์เรา..
การถูกหมิ่นเกียรติ เสื่อมเสียชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล (และของตัวเอง) มันมีค่ามากกว่าชีวิตลูกสาว 3 คนที่ตัวเองเป็นคนให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาจนโตอย่างนั้นหรือ แทนที่จะสงสารเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองที่ต้องเจ็บตัว เจ็บใจกับสิ่งเลวๆ เหล่านั้น กลับเชือดคอฆ่าทิ้งได้ลงคอ
"ศักดิ์ศรี" มันมีค่ามากกว่า "ชีวิต" อย่างนั้นเหรอ
มนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งมวลก็ตรงที่มีความคิดผิดชอบชั่วดี มีศีลธรรม แต่นี่ขนาดสัตว์มันยังไม่ฆ่าลูกตัวเองแล้วไฉนสัตว์ประเสริฐที่มีสมองใหญ่โตกลับทำอะไรแบบนี้ได้นะ เสื่อมจริงๆ
วันพุธ, มิถุนายน 29, 2554
สงคราม "ชาเขียว"
หายไปนานสำหรับการปรากฏตัวในบล็อกนี้ (และบล็อกอื่นๆ เช่นกัน)
เอาล่ะ!! เอาเป็นว่ากลับมาครั้งนี้ก็มีความตั้งใจ (ณ ตอนนี้) ว่าจะคอนตินิวส์ชีวิตบนโลกออนไลน์ต่อไปเหมือนเมื่อก่อน แม้ว่าตอนนี้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เท่าที่ลองเช็คตัวเองดูมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากครั้งสุดท้ายที่เข้ามาอัปบล็อกเท่าไหร่นัก 555+
คงเหมือนที่เคยได้ยินมาล่ะมั๊งว่าพออายุมากขึ้นแล้ว ช่วงเวลา 1-2ปีไม่ matter เท่าไหร่ในแง่ความรู้สึกนึกคิด รวมถึงการต่อยอดจากข้อมูลที่มีอยู่ เพราะนับวันเรื่องราวที่มันเข้ามาในชีวิตส่วนมากก็จะ intersect กับสิ่งที่มีอยู่แล้ว การซ้อนทับกันของข้อมูลเดิมมันจะมีมากกว่าการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะภายใต้สิ่งแวดล้อมเดิมๆ
เอาล่ะเข้าเรื่องกันดีกว่า วันนี้ขอมีสาระซักหน่อยละกัน..
ก่อนหน้านี้ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตผู้ก่อตั้งชาเขียวเจ้าดังในประเทศไทย ที่สร้างชื่อให้กับ "ชาเขียว" และ "แบรนด์โออิชิ" จนที่รู้จักกันทั่วทั้งประเทศว่าเค้ากำลังทำชาเชียวภายใต้แบรนด์ใหม่อีกครั้ง
งง... เล็กน้อย
ด้วยความตกข่าวของตัวเองจึงไม่รู้ว่าเสี่ยตัน ท่านได้ขายกิจการเครือโออิชิทั้งหมดไปตั้งชาติกว่าแล้ว แต่ยังคงดำรงตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทที่เคยเป็นของตัวเองอยู่พักใหญ่ แต่ไม่ได้ตามข่าวต่อว่าเป็นเพราะเค้ามีสัญญิง-สัญญาอะไรเกี่ยวกับการห้ามทำธุรกิจลักษณะเดิมในช่วงแรกที่ขายกิจการรึเปล่า (อันนี้เดาเอาจากสัญญาที่บริษัทมักจะทำเกี่ยวกับการจ้าง-การเลิกจ้างพนักงาน เพื่อไม่ให้เอาความลับไปขาย เอาไอเดียไปต่อยอด อะไรเทือกๆนี้อ่ะนะ)
กลับมาคราวนี้ ภายใต้บริษัท "ไม่ตัน" และชาเขียว "อิชิตัน" (ชื่อคล้ายเดิมโคตร) พร้อมกับขนาดที่ย่อมเยากว่าและราคาขายปลีก 16 บาท ดูเหมือนจะถูกกว่าเนอะ.. แม้จะไม่สามารถขึ้นอันดับหนึ่งได้ แต่ก็สามารถชิงส่วนการตลาดมาจากลูกคนโตอย่างชาเขียวโออิชิมาได้ไม่น้อย จนทำให้โออิชิต้องลดราคาลงมาสู้ที่ 16 บาทเท่ากัน!! (แต่ปริมาณมากกว่านิดนึง)
ดูเหมือนว่าการแก้เกมส์ของโออิชิจะทำให้อิชิตันต้องสะดุดอีกครั้ง แต่ "เสี่ยตัน" ผู้ไม่ตัน ก็มีข้อเสนอใหม่ๆ มาให้ผู้เสพย์ชาเขียวได้อีก ด้วยการใช้กลยุทธ์ขายพ่วงที่โด่งดังมากๆ ในวงการเบียร์ “ดับเบิ้ลดริ้งค์+อิชิตันกรีนที” สองขวดเพียง 21 บาท เท่ากับว่าซื้อดับเบิ้ลดริงค์ 20 บาท เพิ่มเงิน 1 บาทได้ชาเขียวอิชิตัน 1 ขวด!! ไม่อยากจะคิดเลยนะว่าน้ำชาเขียวนี่มันขายเกินทุนอย่างมากกก...ก ถึงขนาดเอามาลดแลกแจกแถมได้ขนาดนี้ เพราะจะมองว่าเสี่ยตันดัมพ์ราคาฆ่าตัวตายก็คงไม่น่าใช่ เพราะนักมาร์เก็ตติ้งตัวพ่อของเมืองไทยคงไม่ทำอะไรสิ้นคิดเป็นแน่แท้ การที่เค้าทำได้ขนาดนี้ก็แสดงว่าต้นทุนมันสู้ได้จริงๆ
ช็อตต่อไปก็คงต้องมาดูกันว่าโออิชิจะมีวิธีการแก้เกมส์อย่างไรต่อไป หากลงมาเล่นสงครามราคากันอย่างนี้คงมีแต่ลดกำไรกันและกัน มีแต่จะพากันเจ็บซะเปล่าๆ แม้ว่ารายใหญ่จะเจ็บน้อยหน่อยตามประสา economy of scale ที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำกว่ารวมทั้งน่าจะมีสายป่านที่ยาวกว่าในการต่อกรกับ supplier เจ้าต่างๆ
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ช่วงนี้ผลดีก็คงตกอยู่กับผู้บริโภคตาดำๆ อย่างเราที่วันนี้คงได้กินชาเขียวในราคาที่สมเหตุสมผลกว่าแต่ก่อนแม้ว่ามันยังแพงล่ะถ้าเทียบกับต้นทุน 55+ แต่ในเมื่อกินมาได้ตั้งนาน ก็อย่าไม่คิดกระนั้นเลยจริงมะ
แต่ลองอ่าน tweet ข้างล่างนี่ดูละกัน เป็นเหตุผลจากชาว CYBER ที่มีต่อเกมส์การตลาดครั้งนี้ หลายๆ คนวิเคราะห์ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว ไม่รู้ว่าจะมีนักการตลาดตัวจริงแฝงอยู่บ้างไหมนะ
เอาล่ะ!! เอาเป็นว่ากลับมาครั้งนี้ก็มีความตั้งใจ (ณ ตอนนี้) ว่าจะคอนตินิวส์ชีวิตบนโลกออนไลน์ต่อไปเหมือนเมื่อก่อน แม้ว่าตอนนี้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เท่าที่ลองเช็คตัวเองดูมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากครั้งสุดท้ายที่เข้ามาอัปบล็อกเท่าไหร่นัก 555+
คงเหมือนที่เคยได้ยินมาล่ะมั๊งว่าพออายุมากขึ้นแล้ว ช่วงเวลา 1-2ปีไม่ matter เท่าไหร่ในแง่ความรู้สึกนึกคิด รวมถึงการต่อยอดจากข้อมูลที่มีอยู่ เพราะนับวันเรื่องราวที่มันเข้ามาในชีวิตส่วนมากก็จะ intersect กับสิ่งที่มีอยู่แล้ว การซ้อนทับกันของข้อมูลเดิมมันจะมีมากกว่าการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะภายใต้สิ่งแวดล้อมเดิมๆ
เอาล่ะเข้าเรื่องกันดีกว่า วันนี้ขอมีสาระซักหน่อยละกัน..
ก่อนหน้านี้ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตผู้ก่อตั้งชาเขียวเจ้าดังในประเทศไทย ที่สร้างชื่อให้กับ "ชาเขียว" และ "แบรนด์โออิชิ" จนที่รู้จักกันทั่วทั้งประเทศว่าเค้ากำลังทำชาเชียวภายใต้แบรนด์ใหม่อีกครั้ง
งง... เล็กน้อย
ด้วยความตกข่าวของตัวเองจึงไม่รู้ว่าเสี่ยตัน ท่านได้ขายกิจการเครือโออิชิทั้งหมดไปตั้งชาติกว่าแล้ว แต่ยังคงดำรงตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทที่เคยเป็นของตัวเองอยู่พักใหญ่ แต่ไม่ได้ตามข่าวต่อว่าเป็นเพราะเค้ามีสัญญิง-สัญญาอะไรเกี่ยวกับการห้ามทำธุรกิจลักษณะเดิมในช่วงแรกที่ขายกิจการรึเปล่า (อันนี้เดาเอาจากสัญญาที่บริษัทมักจะทำเกี่ยวกับการจ้าง-การเลิกจ้างพนักงาน เพื่อไม่ให้เอาความลับไปขาย เอาไอเดียไปต่อยอด อะไรเทือกๆนี้อ่ะนะ)
กลับมาคราวนี้ ภายใต้บริษัท "ไม่ตัน" และชาเขียว "อิชิตัน" (ชื่อคล้ายเดิมโคตร) พร้อมกับขนาดที่ย่อมเยากว่าและราคาขายปลีก 16 บาท ดูเหมือนจะถูกกว่าเนอะ.. แม้จะไม่สามารถขึ้นอันดับหนึ่งได้ แต่ก็สามารถชิงส่วนการตลาดมาจากลูกคนโตอย่างชาเขียวโออิชิมาได้ไม่น้อย จนทำให้โออิชิต้องลดราคาลงมาสู้ที่ 16 บาทเท่ากัน!! (แต่ปริมาณมากกว่านิดนึง)
ดูเหมือนว่าการแก้เกมส์ของโออิชิจะทำให้อิชิตันต้องสะดุดอีกครั้ง แต่ "เสี่ยตัน" ผู้ไม่ตัน ก็มีข้อเสนอใหม่ๆ มาให้ผู้เสพย์ชาเขียวได้อีก ด้วยการใช้กลยุทธ์ขายพ่วงที่โด่งดังมากๆ ในวงการเบียร์ “ดับเบิ้ลดริ้งค์+อิชิตันกรีนที” สองขวดเพียง 21 บาท เท่ากับว่าซื้อดับเบิ้ลดริงค์ 20 บาท เพิ่มเงิน 1 บาทได้ชาเขียวอิชิตัน 1 ขวด!! ไม่อยากจะคิดเลยนะว่าน้ำชาเขียวนี่มันขายเกินทุนอย่างมากกก...ก ถึงขนาดเอามาลดแลกแจกแถมได้ขนาดนี้ เพราะจะมองว่าเสี่ยตันดัมพ์ราคาฆ่าตัวตายก็คงไม่น่าใช่ เพราะนักมาร์เก็ตติ้งตัวพ่อของเมืองไทยคงไม่ทำอะไรสิ้นคิดเป็นแน่แท้ การที่เค้าทำได้ขนาดนี้ก็แสดงว่าต้นทุนมันสู้ได้จริงๆ
ช็อตต่อไปก็คงต้องมาดูกันว่าโออิชิจะมีวิธีการแก้เกมส์อย่างไรต่อไป หากลงมาเล่นสงครามราคากันอย่างนี้คงมีแต่ลดกำไรกันและกัน มีแต่จะพากันเจ็บซะเปล่าๆ แม้ว่ารายใหญ่จะเจ็บน้อยหน่อยตามประสา economy of scale ที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำกว่ารวมทั้งน่าจะมีสายป่านที่ยาวกว่าในการต่อกรกับ supplier เจ้าต่างๆ
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ช่วงนี้ผลดีก็คงตกอยู่กับผู้บริโภคตาดำๆ อย่างเราที่วันนี้คงได้กินชาเขียวในราคาที่สมเหตุสมผลกว่าแต่ก่อนแม้ว่ามันยังแพงล่ะถ้าเทียบกับต้นทุน 55+ แต่ในเมื่อกินมาได้ตั้งนาน ก็อย่าไม่คิดกระนั้นเลยจริงมะ
แต่ลองอ่าน tweet ข้างล่างนี่ดูละกัน เป็นเหตุผลจากชาว CYBER ที่มีต่อเกมส์การตลาดครั้งนี้ หลายๆ คนวิเคราะห์ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว ไม่รู้ว่าจะมีนักการตลาดตัวจริงแฝงอยู่บ้างไหมนะ
--------------------------------------------------------------------------------
สิ่งที่ทำให้ ichitan ปล่อยที่ขวดละ 16 บาทได้ เพราะมันแค่ 420 ml. ไงล่ะ! ในขณะที่ oishi ทุกขวด มัน 500 ml.
ถ้าเทียบราคากันแล้ว เงิน 1 บาท จะได้ชาเขียว oishi 25 ml. และเงินเท่ากันจะได้ชาเขียว ichitan 26.25 ml. นั่นคือที่จริงมันถูกกว่ากันนิดเดียวเอง
ทำไม ichitan ถึงเลือกราคา 16 บาท และทำไมถึงเลือกปริมาตร 420 ml.? ง่ายนิดเดียว ถ้าสู้กันด้วย product มันก็ยังไม่เยอะพอที่จะเอาชนะ oishi ได้
ถ้าวัดตามสเกล 20 ml ที่เพิ่มขึ้นมาอาจจะไม่ได้เป็นจำนวนที่มากเท่าไรนัก แต่ถ้าวัดจากความรู้สึกของผู้บริโภค มันเป็นความคุ้มค่าที่เยอะพอดู
การตั้งราคา 16 บาท ก็เพื่อ challenge เรื่องราคากับเจ้าตลาด และ 420 ml ก็เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าที่ aware เรื่องราคาต่อหน่วย
และเสี่ยตันคงคาดการณ์ไว้แล้ว ว่า oishi จะต้องลงมาเล่น price war แน่นอน ไม่สิ มันอาจจะเป็นหลุมพรางที่เสี่ยตันขุดบ่อล่อปลาเลยก็ได้
เพราะข้อจำกัดด้านต้นทุน oishi จึงไม่สามารถลดราคาลงมาได้มากนักอย่างแน่นอน ถ้าทาง oishi ลดราคาลงมาสู้ (ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว) ichitan ก็แค่ลดอีกบาท
ล่าสุด ผมเห็น ichitan ปล่อยโปรโมชัน ซื้อสองขวด ลดเหลือ 30 บาท ที่ tesco lotus express (ยังไม่ได้ไปเช็กที่ 7-eleven แต่ก็น่าจะมี)
อย่างไรก็ตาม ichitan และเสี่ยตัน ยังเสียเปรียบคู่แข่งเรื่องการกระจายสินค้า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเดินเข้า convenience store เป็นอาจิณ
ศึกชาเขียวชิงตู้เย็นครั้งนี้คงอีกยาวนาน สุดท้าย คงกลับไปวัดกันที่ product ว่าใครจะทำได้ถูกใจผู้บริโภคกว่ากัน สรุปแล้ว พวกเราคือผู้ตัดสินครับ
เรื่อง ichitan vs oishi อยากให้อ่านซีรีส์บล็อกนี้ครับ http://bit.ly/ijw1br สนุก น่าสนใจ และน่าติดตามมากๆ (ขอบคุณ @oxygenyoyo ผู้แนะนำ)
และ http://shellingz.wordpress.com/2011/05/31/green-tea-war-oishi-vs-ichitan/ ผู้รวบรวมมาให้เราอีกที
วันอังคาร, ธันวาคม 14, 2553
เมื่อไหร่จะเลิกรู้สึกแบบนี้ซะทีนะ
ไม่ชอบเลยแฮะความรู้สึกนี้
ทำไมคนเราต้อง "ตั้งแง่" ใส่กันด้วย..
ตั้งแต่ได้ยินเรื่องเล่าว่าผู้ชายเค้าสอนกันมาอย่างไรในเรื่องการ manage ผู้หญิงของตัวเอง
ทำอย่างไรถึงจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองได้อย่างลงตัวที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัว เพื่อนฝูง ครอบครัว หรือแฟน
ซึ่งมันก็แน่อยู่ล่ะที่คนสอนก็คงจะมองประโยชน์ของผู้ฟังเป็นหลัก คิดแทนผู้ชายเหมือนกัน
โดยไม่ได้คิดถึงความต้องการของ "คนตรงข้าม" ล่ะมั๊ง
ที่จริงความรักมันก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคนสองคนที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ ก็แค่ทำสิ่งที่ทำให้เราและคนที่เรารักมีความสุขก็น่าจะดีแล้ว
แต่บ่อยครั้งที่ความต้องการของคนเราไม่เท่ากัน ไม่มีใครผิด แต่แค่มันไม่ตรงกัน
สองสามวันมานี่ คิดถึงรูปแบบความรักของคนคู่นึง
ที่สอนให้เราเข้าใจมุมมองที่ว่าคู่ชีวิตมีความหมายมากกว่าใครทั้งมวล
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือลูกที่รักดังดวงใจ ก็ยังไม่อาจเทียบเท่าภรรยา และแม่ผู้ให้กำเนิดลูกได้ มันคงจะดีนะ ถ้าได้รู้สึกอย่างนี้บ้าง
..การเป็นที่รักของใครสักคนที่จะไม่มีวันเลิกรักเราจนกว่าจะตายจากกันไป..
จะเป็นได้แค่ความฝันในชีวิตนี้รึเปล่านะ
ทำไมคนเราต้อง "ตั้งแง่" ใส่กันด้วย..
ตั้งแต่ได้ยินเรื่องเล่าว่าผู้ชายเค้าสอนกันมาอย่างไรในเรื่องการ manage ผู้หญิงของตัวเอง
ทำอย่างไรถึงจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองได้อย่างลงตัวที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัว เพื่อนฝูง ครอบครัว หรือแฟน
ซึ่งมันก็แน่อยู่ล่ะที่คนสอนก็คงจะมองประโยชน์ของผู้ฟังเป็นหลัก คิดแทนผู้ชายเหมือนกัน
โดยไม่ได้คิดถึงความต้องการของ "คนตรงข้าม" ล่ะมั๊ง
ที่จริงความรักมันก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคนสองคนที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
อะไรก็ได้ ยังไงก็ได้ ก็แค่ทำสิ่งที่ทำให้เราและคนที่เรารักมีความสุขก็น่าจะดีแล้ว
แต่บ่อยครั้งที่ความต้องการของคนเราไม่เท่ากัน ไม่มีใครผิด แต่แค่มันไม่ตรงกัน
สองสามวันมานี่ คิดถึงรูปแบบความรักของคนคู่นึง
ที่สอนให้เราเข้าใจมุมมองที่ว่าคู่ชีวิตมีความหมายมากกว่าใครทั้งมวล
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือลูกที่รักดังดวงใจ ก็ยังไม่อาจเทียบเท่าภรรยา และแม่ผู้ให้กำเนิดลูกได้ มันคงจะดีนะ ถ้าได้รู้สึกอย่างนี้บ้าง
..การเป็นที่รักของใครสักคนที่จะไม่มีวันเลิกรักเราจนกว่าจะตายจากกันไป..
จะเป็นได้แค่ความฝันในชีวิตนี้รึเปล่านะ
วันพุธ, พฤศจิกายน 17, 2553
Surprise!! ใครกันแน่ -*-
จู่ๆ ก็มีเรื่องให้อารมณ์ไม่ดีซะงั้น
ไม่ค่อยเข้าใจคนสันโดษซะจริงๆ
เวลาทำอะไรคนเดียว คิดอะไรคนเดียว มันมีความสุขตรงไหนกัน
ทั้งที่ไอ้เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องของคุณคนเดียวสักหน่อย
สงสัยจะชินกับ "โลกของกรู" ซะจนลืมไปแล้วว่าบางเรื่องมันเป็น "โลกของเรา"
ลืมไปแล้วมั๊งว่าความเป็นห่วงของคนอื่นมันมีค่ามากกว่าคำว่าเซอร์ไพรซ์
หรือว่ามันผิดที่เราที่ดันเอาใจไปร่วมกับเค้าซะจนอดรนทนไม่ได้
(แล้วมันผิดด้วยเหรอที่อยากรู้สิ่งที่เราต้องทำด้วยน่ะ)
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยระเบิดน้ำตาลงสักลูกหนึ่ง ก่อนจะจบด้วยรอยช้ำที่ตาเหมือนที่ผ่านๆ มา
ตอนแรกว่าจะบอกให้รู้ตรงๆ เหมือนกัน
แต่ผ่านไป 2 ชม. ก็คิดได้ว่าพูดไปก็เท่านั้น นิสัยคนเราเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ
ขนาดเราเองยังไม่สามารถจะเชื่อมั่นในตัวเองได้เลย แล้วจะไปหวังอะไรกับการให้คนอื่นเปลี่ยนไปตามใจเรา
แปลกมะ คนที่บอกว่าไม่ชอบการแก่งแย่งอะไรกับใคร และมีความสุขกับการอยู่เฉยๆ แล้วรอให้ความดีมันปรากฏ
กับคนที่ชอบทำเซอร์ไพรซ์ (ตัวเอง) เนี่ยมันเป็นคนเดียวกัน
ไม่ค่อยเข้าใจคนสันโดษซะจริงๆ
เวลาทำอะไรคนเดียว คิดอะไรคนเดียว มันมีความสุขตรงไหนกัน
ทั้งที่ไอ้เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องของคุณคนเดียวสักหน่อย
สงสัยจะชินกับ "โลกของกรู" ซะจนลืมไปแล้วว่าบางเรื่องมันเป็น "โลกของเรา"
ลืมไปแล้วมั๊งว่าความเป็นห่วงของคนอื่นมันมีค่ามากกว่าคำว่าเซอร์ไพรซ์
หรือว่ามันผิดที่เราที่ดันเอาใจไปร่วมกับเค้าซะจนอดรนทนไม่ได้
(แล้วมันผิดด้วยเหรอที่อยากรู้สิ่งที่เราต้องทำด้วยน่ะ)
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยระเบิดน้ำตาลงสักลูกหนึ่ง ก่อนจะจบด้วยรอยช้ำที่ตาเหมือนที่ผ่านๆ มา
ตอนแรกว่าจะบอกให้รู้ตรงๆ เหมือนกัน
แต่ผ่านไป 2 ชม. ก็คิดได้ว่าพูดไปก็เท่านั้น นิสัยคนเราเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ
ขนาดเราเองยังไม่สามารถจะเชื่อมั่นในตัวเองได้เลย แล้วจะไปหวังอะไรกับการให้คนอื่นเปลี่ยนไปตามใจเรา
แปลกมะ คนที่บอกว่าไม่ชอบการแก่งแย่งอะไรกับใคร และมีความสุขกับการอยู่เฉยๆ แล้วรอให้ความดีมันปรากฏ
กับคนที่ชอบทำเซอร์ไพรซ์ (ตัวเอง) เนี่ยมันเป็นคนเดียวกัน
วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 11, 2553
งานยุ่งแต่ไม่อยากทำ ผิดมะ??
จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้เข้ามาอัปเดตความเป็นไปของตัวเองบ้างเลย คงเพราะที่ผ่านมามัวแต่ขลุกอยู่กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ซะจนลืมทุกอย่างไปหมด ก็คงไม่แปลกอะไรสำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมีความสุขดีกับสิ่งที่ตัวเองได้ "เลือก" ในสิ่งที่บอกตัวเองว่าควรจะเลือกมาตั้งนานแล้ว 55+
นอกจากนั้นแล้วก็ยังจะมียัยตัวแสบคนนึงที่เข้ามาในชีวิต ไม่รู้จะจัดวางไว้ตรงไหนดี มากกว่าเพื่อน ไม่ใช่น้อง แต่ก็ไม่ใช่แฟน ถ้าจะให้อธิบายง่ายที่สุดเอาเป็นว่าเป็นคนรู้สึกสบายใจที่จะคบกัน แม้ว่าแรกๆ จะฝืนที่ต้องเปิดรับใครให้เข้ามาในชีวิตอย่างรวดเร็ว (เกินไปมั๊ย) แต่ยังไงซะก็ต้องขอบคุณที่เค้าช่วยทำให้ชีวิตเราค่อยๆ ดำเนินไปอย่างไม่น่าเบื่อนัก 1 ปีแล้วสินะที่เธอเข้ามาป่วนชีวิตชั้นน่ะ 55+
วันก่อนขากลับจากสนามบินก็ได้ไปเจอรุ่นพี่คนนึงที่เราไปแฮงก์อยู่กับเค้าในคืนวันปีใหม่ที่ผ่านมา แล้วพี่เค้าก็บอกว่าปีนี้ให้มาอีกนะ จะจัดปีใหม่ที่ร้านให้ลูกค้าเหมือนปีที่แล้ว นั่นแหละทำให้เราได้รู้สึกตัวว่าวันเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ เผลอแป๊ปเดียวนี่จะปีนึงแล้วรึนี่
นอกจากนั้นแล้วก็ยังจะมียัยตัวแสบคนนึงที่เข้ามาในชีวิต ไม่รู้จะจัดวางไว้ตรงไหนดี มากกว่าเพื่อน ไม่ใช่น้อง แต่ก็ไม่ใช่แฟน ถ้าจะให้อธิบายง่ายที่สุดเอาเป็นว่าเป็นคนรู้สึกสบายใจที่จะคบกัน แม้ว่าแรกๆ จะฝืนที่ต้องเปิดรับใครให้เข้ามาในชีวิตอย่างรวดเร็ว (เกินไปมั๊ย) แต่ยังไงซะก็ต้องขอบคุณที่เค้าช่วยทำให้ชีวิตเราค่อยๆ ดำเนินไปอย่างไม่น่าเบื่อนัก 1 ปีแล้วสินะที่เธอเข้ามาป่วนชีวิตชั้นน่ะ 55+
วันก่อนขากลับจากสนามบินก็ได้ไปเจอรุ่นพี่คนนึงที่เราไปแฮงก์อยู่กับเค้าในคืนวันปีใหม่ที่ผ่านมา แล้วพี่เค้าก็บอกว่าปีนี้ให้มาอีกนะ จะจัดปีใหม่ที่ร้านให้ลูกค้าเหมือนปีที่แล้ว นั่นแหละทำให้เราได้รู้สึกตัวว่าวันเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ เผลอแป๊ปเดียวนี่จะปีนึงแล้วรึนี่
วันจันทร์, พฤษภาคม 24, 2553
อะไรที่เป็นของเรา..ก็ต้องเป็นของเรา..
เหนื่อยใจจังเลย.. กี่ครั้งแล้วนะที่บอกอย่างนี้กับตัวเอง ก็เพราะมันไม่รู้จะอธิบายอะไรได้ดีไปกว่านี้แล้วนั่นเอง
คนที่รักกันมากถึงขนาดจะแต่งงานกัน ก็คงต้องมีความอยากที่จะอยู่ด้วยกันมากๆ ทั้งสองฝ่าย ทำให้ต้องช่วยกันทำความตั้งใจให้เป็นจริง แล้วเราล่ะ.. ทำไมถึงรู้สึกว่ามีแต่เราที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเค้ามากซะจนคิดว่าพิธีรีตรองอะไรทั้งหลายแหล่ ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกแล้ว ถ้าแลกกับเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันเร็วขึ้นแม้เพียง 1 วัน แต่สำหรับเค้าความรู้สึกที่ว่านี้มันคงลดลงมากๆ จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เหมือนทุกอย่างเดินไปตามทางที่เค้ามองเห็นอยู่คนเดียว ทั้งที่ทางนั้นมันควรจะต้องมีเราเดินไปด้วยไม่ใช่หรือ
การที่ต้องรออะไรสักอย่างที่ตัวเราไม่สามารถจะควบคุมมันได้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมาณเสียจริงๆ ถึงแม้จะบอกตัวเองว่ามันไม่ได้ไร้จุดหมายเสียทีเดียว แต่ก็ไม่สามารถจะระบุได้เช่นกันว่าการรอคอยนั้นจะจบลงเมื่อไหร่ ยิ่งวันเวลาผ่านไปความหวังในใจมันก็ค่อยๆ ริบหรี่ลงทุกที พลังใจที่พยายามสร้างขึ้นมามันไม่สามารถทดแทนกันได้ทัน
หลายๆ คำถามที่ไม่สามารถตอบตัวเองได้..
การมีเราอยู่ไม่ได้ช่วยทำให้ความกลัวของเค้าลดลง หนำซ้ำมันกลับทำให้เค้ารู้สึกไม่แน่ใจว่าเราสองคนจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แล้วเค้าจะมีเราไว้ทำไม..
"ไม่พร้อม" คำสั้นๆ แต่ทรงอานุภาพและสามารถตอบคำถามทั้งมวลได้ในครั้งเดียว การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะไม่พร้อมที่จะก้าวไปอีกบทบาทหนึ่งของชีวิตมันก็เป็นคำอธิบายง่ายๆ ได้ว่าเค้ายังไม่เจอใครสักคนที่เค้าคิดว่าจะร่วมชีวิตกันได้น่ะสิ ลองคิดว่ามัน "ใช่" ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญสักเพียงใด เชื่อว่าคนเราก็คงพยายามที่จะทำให้มันเป็นจริงจนได้ ลองว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ดาวเดือนบนท้องฟ้า
ทำให้เค้าอยากอยู่กับเรางั้นหรือ ทำอย่างไรล่ะ ทุกสิ่งอย่างที่ทำได้ให้ได้ก็ทำไปหมดแล้ว ให้ไปจนไม่เหลืออะไรให้กับตัวเอง แต่ไม่นึกเลยว่าเค้าจะไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับสิ่งเหล่านั้นสักเท่าไหร่ ถ้าตัวเราในทุกวันนี้ยังไม่สามารถทำให้เค้าพอใจได้ก็คงเป็นเราที่ต้องทำใจสินะ..
ถ้าไม่หลอกตัวเอง เรารู้สึกมาพักใหญ่แล้วล่ะว่าเราไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกอยากอยู่ด้วยกันจากเค้าเลย มีแต่เราที่พยายามสร้างโอกาส หากิจกรรมเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งเค้าก็คงทำเพราะคิดว่าเป็นการสนองความต้องการของเรามากกว่าเป็นความสุขของทั้งสองคน ครั้งสุดท้ายที่คิดว่าได้เห็นรอยยิ้มที่มาจากใจของเค้า ก็คือวันที่จะต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว เช้าวันที่ตื่นนอนขึ้นมาพร้อมๆ กัน แล้วเค้าลุกขึ้นมานั่งอยู่บนตัวเรา รอยยิ้มเขินๆ ที่เห็นได้จากมุมล่างมองขึ้นไปหาใบหน้าเค้านั่นแหละที่ทำให้เรามีความสุขที่สุดในช่วงเวลา 3 วันนั้น แว๊บนึงที่รู้สึกว่าเค้าคือคนเดิมที่เรารัก
เกือบ 1 สัปดาห์แล้วสินะที่เราจมอยู่กับความรู้สึกเศร้าๆ อย่างนี้ แม้วันนี้น้ำตาจะหยุดไหล แต่หัวใจยังไม่หยุดเต้นแรงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเค้า เรี่ยวแรงที่แทบจะหมดลงไปพร้อมๆ กับการวางสาย เราจะต้องเป็นอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่นะ แม้จะพยายามบอกตัวเองให้ปลงและยอมรับความจริงให้ได้ ให้ความหวังกับตัวเองได้แค่ "ของที่เป็นของเรา ไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องเป็นของเรา" แต่ถ้ามันไม่ใช่ของเรา ต่อให้เราดิ้นรนพยายามเท่าไหร่สุดท้ายก็มีแค่..มือเปล่า
คนที่รักกันมากถึงขนาดจะแต่งงานกัน ก็คงต้องมีความอยากที่จะอยู่ด้วยกันมากๆ ทั้งสองฝ่าย ทำให้ต้องช่วยกันทำความตั้งใจให้เป็นจริง แล้วเราล่ะ.. ทำไมถึงรู้สึกว่ามีแต่เราที่อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเค้ามากซะจนคิดว่าพิธีรีตรองอะไรทั้งหลายแหล่ ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกแล้ว ถ้าแลกกับเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันเร็วขึ้นแม้เพียง 1 วัน แต่สำหรับเค้าความรู้สึกที่ว่านี้มันคงลดลงมากๆ จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เหมือนทุกอย่างเดินไปตามทางที่เค้ามองเห็นอยู่คนเดียว ทั้งที่ทางนั้นมันควรจะต้องมีเราเดินไปด้วยไม่ใช่หรือ
การที่ต้องรออะไรสักอย่างที่ตัวเราไม่สามารถจะควบคุมมันได้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ทรมาณเสียจริงๆ ถึงแม้จะบอกตัวเองว่ามันไม่ได้ไร้จุดหมายเสียทีเดียว แต่ก็ไม่สามารถจะระบุได้เช่นกันว่าการรอคอยนั้นจะจบลงเมื่อไหร่ ยิ่งวันเวลาผ่านไปความหวังในใจมันก็ค่อยๆ ริบหรี่ลงทุกที พลังใจที่พยายามสร้างขึ้นมามันไม่สามารถทดแทนกันได้ทัน
หลายๆ คำถามที่ไม่สามารถตอบตัวเองได้..
การมีเราอยู่ไม่ได้ช่วยทำให้ความกลัวของเค้าลดลง หนำซ้ำมันกลับทำให้เค้ารู้สึกไม่แน่ใจว่าเราสองคนจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แล้วเค้าจะมีเราไว้ทำไม..
"ไม่พร้อม" คำสั้นๆ แต่ทรงอานุภาพและสามารถตอบคำถามทั้งมวลได้ในครั้งเดียว การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะไม่พร้อมที่จะก้าวไปอีกบทบาทหนึ่งของชีวิตมันก็เป็นคำอธิบายง่ายๆ ได้ว่าเค้ายังไม่เจอใครสักคนที่เค้าคิดว่าจะร่วมชีวิตกันได้น่ะสิ ลองคิดว่ามัน "ใช่" ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญสักเพียงใด เชื่อว่าคนเราก็คงพยายามที่จะทำให้มันเป็นจริงจนได้ ลองว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ดาวเดือนบนท้องฟ้า
ทำให้เค้าอยากอยู่กับเรางั้นหรือ ทำอย่างไรล่ะ ทุกสิ่งอย่างที่ทำได้ให้ได้ก็ทำไปหมดแล้ว ให้ไปจนไม่เหลืออะไรให้กับตัวเอง แต่ไม่นึกเลยว่าเค้าจะไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับสิ่งเหล่านั้นสักเท่าไหร่ ถ้าตัวเราในทุกวันนี้ยังไม่สามารถทำให้เค้าพอใจได้ก็คงเป็นเราที่ต้องทำใจสินะ..
ถ้าไม่หลอกตัวเอง เรารู้สึกมาพักใหญ่แล้วล่ะว่าเราไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกอยากอยู่ด้วยกันจากเค้าเลย มีแต่เราที่พยายามสร้างโอกาส หากิจกรรมเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งเค้าก็คงทำเพราะคิดว่าเป็นการสนองความต้องการของเรามากกว่าเป็นความสุขของทั้งสองคน ครั้งสุดท้ายที่คิดว่าได้เห็นรอยยิ้มที่มาจากใจของเค้า ก็คือวันที่จะต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว เช้าวันที่ตื่นนอนขึ้นมาพร้อมๆ กัน แล้วเค้าลุกขึ้นมานั่งอยู่บนตัวเรา รอยยิ้มเขินๆ ที่เห็นได้จากมุมล่างมองขึ้นไปหาใบหน้าเค้านั่นแหละที่ทำให้เรามีความสุขที่สุดในช่วงเวลา 3 วันนั้น แว๊บนึงที่รู้สึกว่าเค้าคือคนเดิมที่เรารัก
เกือบ 1 สัปดาห์แล้วสินะที่เราจมอยู่กับความรู้สึกเศร้าๆ อย่างนี้ แม้วันนี้น้ำตาจะหยุดไหล แต่หัวใจยังไม่หยุดเต้นแรงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเค้า เรี่ยวแรงที่แทบจะหมดลงไปพร้อมๆ กับการวางสาย เราจะต้องเป็นอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่นะ แม้จะพยายามบอกตัวเองให้ปลงและยอมรับความจริงให้ได้ ให้ความหวังกับตัวเองได้แค่ "ของที่เป็นของเรา ไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องเป็นของเรา" แต่ถ้ามันไม่ใช่ของเรา ต่อให้เราดิ้นรนพยายามเท่าไหร่สุดท้ายก็มีแค่..มือเปล่า
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)