วันจันทร์, กรกฎาคม 20, 2552

นี่ใช่ไหม.. ความรัก

คิดไม่เหมือนกันอีกแล้วสินะ แล้วก็อย่างนี้ทุกที พอคนนึงพูดไม่ถูกหู อีกคนนึงก็จะไม่พอใจ แล้วก็จะเงียบ ไม่ก็ถอนหายใจ..เฮือก..ก ต่อด้วยเสียงที่แสดงความไม่สบอารมณ์

แม้เราจะไม่เคยโวยวายใส่กันแรงๆ แต่การสนทนาก็จบลงลงด้วยความรู้สึกเป็นลบในใจทั้งคู่
ความรู้สึกต่อจากนั้นของเค้าเราก็ไม่รู้แล้ว แต่ของตัวเองน่ะมันวูบไปหมดเลย รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงที่มีมันหายไป แม้แต่จะกระดิกนิ้วก็ไม่อยากทำ คนเรานี่จิตใจเป็นส่วนที่อ่อนไหว แต่ก็ทรงพลังที่สุดจริงๆ

ในมุมมองของเรา "แฟน" หรือ "คนรัก" ก็คือคนที่เป็นอีกส่วนหนึ่งของเรา แล้วมันผิืดด้วยเหรอที่อยากอยู่ใกล้คนที่เรารักน่ะ??

รึว่ามันเป็นความแตกต่างของคนต่างเพศ "หญิง" และ "ชาย"

ที่เค้าว่ากันว่า Women from Mars & Men from Venus คงเป็นคำพูดที่ถูกต้องแล้ว

เมื่อมาจากดาวคนละดวงกัน ความคิดและความต้องการก็ไม่เหมือนกันเป็นธรรมดาใช่ไหม...

ผู้หญิง ต้องการใครสักคนอยู่เคียงข้าง เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เข้ามาเติมเต็มงชีวิตที่ขาดหายให้สมบูรณ์
ต่างคนต่างก็คิดคล้ายๆ กันว่าอยากอยู่ใกล้ๆ กับคนรัก จึงให้ความสำคัญกับรายละเอียด ใส่ใจในความเป็นไป ดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด

แล้วผู้ชายล่ะต้องการอะไรจากผู้หญิงคนหนึ่งที่เค้าบอกว่ารัก นอกจากให้ผู้หญิงคนนั้นซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และสามารถดูแลตัวเองได้ปลอดภัย

คิดย้อนไปถึงอดีต.. วันที่อิสระเป็นสิ่งหอมหวานเหลือเกินกับชีวิตที่ผูกติดกันจนแยกไม่ออก การที่ต้องทำอะไรด้วยกันตลอดตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งเข้านอนจึงไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดว่าัตัวเองเหงา ยอมรับว่าในวันนั้นไม่เคยคิดเลยว่าการอยู่คนเดียวให้ความรู้สึกเป็นอย่างไร เพราะใจมันคิดแต่อยากจะมีเวลาเป็นของตัวเอง ต้องการที่จะมีเพื่อน มีสังคมกับคนอื่นๆ บ้าง

พอมาถึงวันนี้กับวันที่ชีิวิตไม่มีใครตีกรอบ อิสระที่โหยหานั้นมีอยู่รายรอบจนบางครั้งกลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนอากาศที่ว่างเปล่าไม่มีความสำคัญสำหรับใคร ทำไมถึงรู้สึกอึดอัดในใจทั้งที่มันควรเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด แต่ความรู้สึกเกร็ง กังวล ทำให้ไม่มีความมั่นใจเลยว่าตัวเองควรจะทำตัวอย่างไร

เราความจะมีความสุขมากไม่ใช่เหรอ ??
ในเมื่อวันนี้เราอยู่ในสถานการณ์ที่เราเคยคิดว่าดีที่สุดสำหรับเราแ้ล้วในวันนั้น แต่เพราะอะไรกันนะ เราถึงรู้สึกเหงา เสียใจ และอ้างว้างอย่างนี้

น้ำตายังคงซึมแต่ด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน....

หรือว่าเป็นเพราะ เค้า หรือ เรา ที่เปลี่ยนไป..

วันจันทร์, กรกฎาคม 13, 2552

ว่าด้วยกะเพรา โหระพา และใบแมงลัก

เป็นคนที่มีปัญหากะเจ้าพืชใบเขียว 3 ตัวเนี่ยมาตั้งแต่นมนานกาเล แล้วก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะแยกมันออกได้เลยสักครั้ง
ทั้งที่ตั้งใจจ้องมันและท่องๆๆ เอาไว้หลายต่อหลายครั้ง แต่แล้วเพียงข้ามวันก็ลืมอีกจนได้
จะบอกว่าไม่ใส่ใจก็คงไม่ใช่ เราว่ามัน "ไม่มีหัวทางนี้" มากกว่าล่ะมั๊ง

โดยนิสัยแต่อ้อนแต่ออก ไอ้เรื่องทำกับข้าวเนี่ยไม่เข้าทางเอาเสียเลย
เพราะงั้น ไอ้เรื่องจะมานั่งมองส่วนประกอบอาหาร ก็คงไม่แปลกที่เอาดีทางนี้ไม่ได้ 55+
หรือแม้จะเป็นเรื่องต้นไม้ใบหญ้าก็เหอะ ไม่ว่ามันจะเป็นต้นอะไร ก็รู้จักมันในนาม "ต้นไม้" และ "ดอกไม้"
ดีหน่อยก็สามารถจัดมันได้ว่าเป็น category "ผัก" หรือว่า "พืช" แค่นั้นแหละ

และแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีเรื่องให้อายจนได้ เพราะเจ้าพืช 3 ชนิดที่ว่านี่แหละ -_-"
หลังจากได้รับคำไหว้วาน (ที่จริงก็ไม่ได้ไหว้หรอก แค่บอกว่าแวะซื้อให้หน่อยเท่านั้นแหละ) ให้แวะซื้อวัตถุดิบสำหรับอาหารเย็นให้หน่อย..



"คิดว่าจะทำผัดกะเพรา เพราะงั้น ซื้อ กะเพรา, หมูสับ และเห็ด นะครับ"
"ได้ค่ะ"

....ปรื๊ด..ด...
(Fast Forward เพื่อไม่ให้เสียเวลา)



...ถึงตลาดละ เหลียวซ้ายแลขวา นั่นไง!! แผงขายผัก
"กะเพราอยู่ไหนคะ"
"ทางโน้นเลยค่ะ ข้างๆ โหระพา"
~~แม่เจ้า..ผักเรียงเป็นกองทัพ เขียวอี๋เต็มไปหมด แล้วไหนวะ กะเพรากะโหระพาของเจ๊แกสงสัยไอ้นั่นล่ะมั๊ง ใบคุ้นๆ เหมือนเคยกิน
ไม่คิดมากละ หยิบเสร็จคิดตังค์แล้วก็บึ่งกลับบ้าน ร้อนเหลือเกิน!!

ถึงบ้านปุ๊ปวางของลงบนโต๊ะก็ได้ยินว่าหลอดไฟเสีย
เออ... เปลี่ยนเองก็ได้วะ ลากเก้าอี้ไม้แสนหนักไปหลังบ้านแล้วก็ขึ้นไปยืนหมุนน็อตออกเรียบร้อย ดึงขั้วหลอดไฟออกจากหลอดเก่า...แกร๊บบบ.. ฉิบ.. เสียง'ไรวะ??
จับอีกทีพลาสติกครอบ starter หลุดติดมือออกมา เอาน่า..ยังพอไหว ยืนเหงื่อแตกซิ่กพยายามจะยัดขั้วต่อเข้ากับหลอดไฟต่อไป
กริ๊ง~ง เสียงขั้วทองแดงที่ติดกับขั้ว starter หล่นลงพื้น ..โอเค..จบ ไม่เปลี่ยนมันแล้วเว๊ย พังเรียบร้อย เหอๆๆ
นั่งปาดเหงื่ออีกพัก แล้วลงมือเตรียมอาหาร (มั่วๆ ไปงั้นแหละ มันน่าจะทำงี้นี่หว่า)

((((เข้าสู่กระบวนการ "ล้าง-เด็ด-หั่น"))))

สักพักพ่อครัวมาถึง เดินมาดูปุ๊ป เฮ้ยย..ย นี่มัน "โห-ระ-พา" ไม่ใช่ "กะ-เพรา" หนิครับ
พูดเสร็จก็หันมายิ้ม แล้วก็ปล่อยก๊าก ก็รู้แหละว่าหยุดไม่อยู่แล้วจริงๆ (..เสียมารยาทชะมัดเลยตาอ้วนนี่!!)
เออ.. เอากะเค้าจิ ก็รู้อยู่แล้วว่าทำกับข้าวไม่เป็น แยกผักยังไม่ออกเลย มาหัวเราะทำไมอ่ะ ฮือๆๆๆๆ
สรุป!! เปลี่ยนแผน จากผัดกะเพรา กลายเป็น หมูสับผัดพริกเผา ไปซะงั้น
แม้จะเค็มไปนิด แต่ก็อร่อยดี อิอิ

แม้ว่ามันจะเป็นมื้อเย็นที่ทุลักทุเลไปสักหน่อย
แต่มันก็มีอะไรให้ชื่นใจ ตอนที่แม่ถามว่า ไปฮ่องกงมาประทับใจอะไรที่สุด แล้วได้ยินคำตอบที่ว่า "ประทับใจคนไปด้วยที่สุดครับ"
เหอะๆๆ ถึงแม้ว่าจะแกล้งพูด แต่มันก็แฮปปี้ที่ได้ยินนะ 55+

~~น้ำเน่าอย่างนี้แหละน่ารัก~~

ปล.
เอาผักสามชนิดมาให้ศึกษา!!!

กะเพรา "Basil" (ชื่อวิทยาศาสตร์: Ocimum sanctum) เป็นไม้ล้มลุก แตกกิ่งก้านสาขา สูง 30 - 60 ซม. ลำต้นค่อนข้างแข็ง ตามลำต้นมีขน ใบ เป็นใบเดี่ยวการเกาะติดของใบบนกิ่งแบบตรงข้ามสลับตั้งฉาก เรียงตรงข้าม รูปรี กว้าง 1-3 วม. ยาว 2.5-5 ซม.
ใบ ปลายแหลมหรือมน โคนแหลม ขอบจักฟันเลื่อยและเป็นคลื่น แผ่นใบมีขน ดอกเป็นแบบช่อฉัตร ออกบริเวณปลายยอดและปลายกิ่ง ยาว 8-10 ซม. ดอกย่อยมีขนาดเล็ก รูปคล้ายระฆัง กลีบดอกมีทั้งชนิดสีขาวลายม่วงแดงและสีขาว โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นกรวย ส่วนปลายแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนบนแยกเป็น 4 กลีบปลายแหลมเรียว ส่วนล่างมีกลีบเดียวค่อนข้างกลม ผิวกลีบด้านในเกลี้ยง ด้านนอกมีขนตามโคนกลีบ กลีบเลี้ยงสีแดงน้ำตาลแกมม่วง และสีเขียว เนื้อกลีบแข็ง ส่วนโคนเชื่อมติดกันเป็นกรวย ส่วนปลายแยกเป็นกลีบปลายแหลมแบบหนาม ก้านดอกย่อยสีเขียว ยาวประมาณ 0.20 - 0.30 ซม.
ผล แห้งแล้วแตกออก เมล็ด เล็ก รูปไข่สีน้ำตาล มีจุดสีเข้มเมื่อนำไปแช่น้ำเปลือกหุ้มเมล็ดพองออกเป็นเมือก



โหระพา "Sweet Basil" (ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimum basilicum Linn.) เป็นไม้ล้มลุก สูง 0.5-1 เมตร ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยม กิ่งอ่อนสีม่วงแดง ใบ ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปไข่หรือรูปรี กว้าง 3-4 เซนติเมตร ยาว 4-6 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน ขอบจักเป็นฟันเลื่อยห่างๆ ดอกสีขาวหรือชมพูอ่อน ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ยาว 7-12 เซนติเมตร ใบประดับสีเขียวอมม่วงจะคงอยู่เมื่อเป็นผล กลีบดอกโคยเชื่อมกัน ปลายแยกเป็น 2 ส่วน เกสรตัวผู้ 4 อัน ผล ขนาดเล็ก

แมงลัก "Lemon Basil" (ชื่อวิทยาศาสตร์ Ocimum × citriodourum) เป็นพืชล้มลุกในสกุลกะเพรา-โหระพา แมงลักมีใบเล็ก สีอ่อน บอบบาง ช้ำง่ายและเหี่ยวง่ายกว่า ชื่อสามัญเดิมเรียกกันว่า hoary basil (hoary แปลว่าผมหงอก) โดยนำมาจากลักษณะที่มีขนอ่อนสีขาวๆ บริเวณก้านใบและยอดอ่อน ต่อมาก็เปลี่ยนมาเรียกว่า lemon basil ตามลักษณะกลิ่นที่คล้ายส้ม-มะนาว ใบมีกลิ่นฉุน ใช้ประกอบอาหารเช่นเดียวกับกระเพราและโหระพา


สะระแหน่ "Lemon balm" เป็นพืชสมุนไพรยืนต้น ตระกูลมิ้นต์ วงศ์กะเพรา พืชล้มลุก อายุหลายปี สูง 0.3-0.9 เมตร ลำต้นกิ่งก้านเป็นเหลี่ยม สีม่วงหรือแดงเข้ม ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือวงรี ขอบใบหยักฟันเลื่อย ดอกสีขาว ออกที่ปลายยอด ผลแห้ง มี 4 ผลย่อย เมล็ดเล็กเท่าเมล็ดงา สีน้ำตาลเข้ม เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 70 - 150 เซนติเมตร ส่วนใบมีกลิ่นหอมคล้ายใบมะนาว ออกดอกสีขาวๆที่เต็มไปด้วยน้ำหอม,น้ำหวาน อยู่ภายใน นี้ดึงดูดใจให้ผึ้งมาดูดน้ำหวานและจากเหตุนี้ทำให้สะระแหน่อยู่ในสกุล Melissa (ภาษากรีก แปลว่า "น้ำผึ้ง") และยังมีรสชาติคล้ายคลึงกับ ตะไคร้หอม มะนาว และแอลกอฮอล์